วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

งานที่10หน้าที่ของชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธและบรรพชาอุปสมบท


หน้าที่ของชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ บรรพชาอุปสมบท
หน้าที่ของชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ

หน้าที่ชาวพุทธ
   ชาวพุทธ  คือ  ผู้ที่เคารพเลื่อมใสและศรัทธาในพระรัตนตรัย  มีหน้าที่ในการศึกษาและปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา  ในความเคารพนับถือต่อพระรัตนตรัย  เอาใจใส่ทำนุบำรุง  และบำเพ็ญประโยชน์ต่อวัดและพระสงฆ์  นอกจากนี้ยังต้องปฏิบัติตนอย่างมีมารยาท  ที่ถูกต้องและเหมาะสมต่อพระสงฆ์  และนำแนวทางการปฏิบัติตนของพระสงฆ์มาเป็นแบบอย่างที่ดีงามในการดำเนินชีวิต
๑)  หน้าที่ชาวพุทธโดยทั่วไป
   ๑)  ด้านการศึกษาและปฏิบัติธรรม

ชาวพุทธที่ดีควรให้ความสนใจศึกษาค้นคว้าหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา  และน้อมนำหลักธรรมที่ได้ศึกษาแล้วมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมแก่ฐานะของตน  รวมทั้งการแสดงความเป็นชาวพุทธที่ดีด้วยการทำบุญบำเพ็ญกุศล  เข้าร่วมพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาในโอกาสสำคัญต่างๆ
   ๒)  ด้านการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา
          ๒.๑)  การอุปถัมภ์พระภิกษุสามเณร
   พระภิกษุสามเณรนอกจากมีหน้าที่ในการศึกษาธรรม  ปฏิบัติธรรม  และสั่งสอนธรรมแล้ว  ยังต้องปฏิบัติศาสนกิจอื่นๆ  เพื่อความดีงามและความสงบสุขของประชาชน  ด้วยการแนะนำสั่งสอนประชาชนให้เป็นคนดีมีคุณธรรม  ดังนั้นเพื่อแสดงออกถึงความกตัญญูต่อคุณูปการของพระภิกษุสามเณร  ชาวพุทธที่ดีจึงควรช่วยอุปถัมภ์  บำรุงและส่งเสริมพระภิกษุสามเณร  เพื่อให้มีกำลังในการปฏิบัติศาสนกิจ  สืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้มั่นคงสืบไป
          ๒.๒)  การทำนุบำรุงวัดและพุทธศาสนสถาน 
   พระพุทธศษสนามีวัดเป็นศูนย์กลางสำหรับการบำเพ็ญกุศล  การฝึกอบรม  และการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน  โดยมีพระสงฆ์ในฐานะศษสนบุคคลเป็นผู้ชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิต  วัดจึงเป็นอุทยานการศึกษาเพราะเป็นแหล่งการเรียนรูสำคัญทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ  วัดบางแห่งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติและมรดกโลก
          ๒.๓)  ด้านการปฏิบัติตนเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม 
   ชาวพุทธที่ดี  คือ  ผู้ปฏิบัติตนในฐานะที่เป็นพลเมืองดีของชาติด้วยการดำรงตนอยู่ในกรอบของกฎหมาย  ปฏิบัติตนตามสิทธิและหน้าที่อย่างเหมาะสม  ไม่ละเมิดกฎระเบียบและกติกาของสังคม
          ๒.๔)  ด้านการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา 
   พระพุทธศาสนาถือเป็นมรดกของชาติไทยที่บรรพบุรุษได้ปกป้องคุ้มครองมาด้วยชีวิต  เมื่อวิกฤตการณ์เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา  ชาวพุทธไม่ควรนิ่งดูดายและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์เพียงฝ่ายเดียว  ควรช่วยกันแก้ไขระงับเหตุการณ์มิให้ลุกลามใหญ่โต

๒)  หน้าที่ของนักเรียนในฐานะที่เป็นชาวพุทธ
   ๑)  การเรียนรู้วิถีชีวิตของพระสงฆ์ 
   พระสงฆ์  คือ  กลุ่มบุคคลที่มีความศรัทธาเลื่อมใสในคำสอนของพระพุทธเจ้า  แล้วสละความเป็นคฤหัสถ์ไปดำเนินชีวิตตามแบบบรรพชิตด้วยการศึกษาเรียนรู้  ฝึกหัดตนเองตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า  และเมื่อสามารถพัฒนาตนเองให้มีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมได้ในระดับนึงแล้ว  ก็นำหลักธรรมเหล่านั้นมาอบรมสั่งสอนประชาชนให้มีความรู้  ความเข้าใจในธรรมะ  และนำไปปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
   ๒)  การปฎิบัติตนอย่างเหมาะสมต่อเพื่อน
   พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกันในสังคม  จึงมีคำสอนเรื่องการคบเพื่อน  และการปฏิบัติตนในฐานะที่เป็นเพื่อนที่ดี  ดังนี้

                                                       เพื่อน

ข้อที่พึงปฏิบัติต่อเพื่อน

ข้อที่พึงปฏิบัติตอบแทนเพื่อน 
 เผื่อแผ่แบ่งปัน ช่วยเหลือป้องกัน  เมื่อเพื่อนประมาท
 พูดจาด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ  มีน้ำใจ   ช่วยรักษาทรัพย์สิน  เมื่อเพื่อนประมาท
 ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล                                     เป็นที่พึ่งได้  เมื่อเพื่อนมีภัย                                      
 วางตนเสมอต้นเสมอปลาย  ร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ละทิ้งในยามทุกข์ยาก
 ซื่อสัตย์จริงใจ ให้ความนับถือตลอดถึงญาติของเพื่อน
   นอกจากหลักปฏิบัติต่อกันระหว่างเพื่อนที่ดีดังที่กล่าวแล้ว  การคบเพื่อนควรเรียนรู้ลักษณะของเพื่อน  ที่เรียกว่า  มิตรแท้-มิตรเทียม  เพื่อส่งเสริมประโยชน์และป้องกันโทษที่จะเกิดขึ้นจากการคบเพื่อน
มารยาทชาวพุทธ


มารยาทชาวพุทธ
 มารยาทชาวพุทธ  หมายถึง  กิริยาวาจาของผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาที่ถือว่าเรียบร้อยซึ่งพระพุทธศาสนามีหลักคำสอนเพื่อฝึกหัดกิริยามารยาทของชาวพุทธให้มีความงดงาม  และเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็น  เช่น มารยาทเกี่ยวกับการปฏิบัติตนต่อพระสงฆ์ เป็นต้น
๑)  การเข้าพบพระสงฆ์
 ๑)  ข้อปฏิบัติก่อนเข้าพบพระสงฆ์
          เนื่องจากพระสงฆ์ดำเนินชีวิตตามหลักพระธรรมวินัยอาจมีข้อห้ามบางอย่างที่เราไม่ทราบ  ดังนั้น  ก่อนเข้าพบพระสงฆ์ควรติดต่อสอบถามข้อปฏิบัติ  และควรแจ้งความประสงฆ์ขออนุญาตเข้าพบท่านก่อนทุกครั้ง  เมื่อท่านอนุญาตจึงจะเข้าพบได้
 ๒)  ข้อปฏิบัติเมื่อถึงที่อยู่ของพระสงฆ์
          เมื่อไปถึงวัดหรือสถานที่ที่ได้นัดหมายท่านไว้  ควรคุกเข่ากราบเบญจางคประดิษฐ์  หากสถานที่นั้นมีโต๊ะหมู่บูชาประดิษฐานพระพุทธรูป  ให้กราบพระพุทธรูปก่อนแล้วค่อยกราบพระสงฆ์  เสร็จแล้วนั่งพับเพียบเก็บเท้าให้เรียบร้อย  และไม่นั่งเสมอพระสงฆ์
 ๓)  ข้อปฏิบัติขณะสนทนากับพระสงฆ์
          ควรใช้คำพูดให้ถูกต้องเหมาะสมตามฐานะ  หากเป็นการสนทนากับพระเถระผู้ใหญ่  ควรประนมมือพูดและรับคำพูดของท่านทุกครั้ง  พูดคุยเฉพาะกิจธุระสำคัญ
 ๔)  ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการเดินทางของพระสงฆ์
          การเดินสวนทางกับพระสงฆ์ควรหลีกทางด้านขวามือของเรา  หรือด้านซ้ายของพระสงฆ์  เมื่อท่านเดินมาถึงตรงหน้าควรน้อมตัวลงไหว้และรอจนกว่าท่านจะเดินผ่านเลยไป  จึงเดินต่อไปตามปกติ
๒)  การแสดงความเคารพพระรัตนตรัย
 ๑)  การประนมมือ  หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  อัญชลี  เป็ฯการกระพุ่มมือทั้งสองประนมโดยใช้ผฝ่ามือประกบกัน  ให้ฝ่ามือทั้งสองชิดกันตั้งไว้ระหว่างอก  นิ้วมือทั้งสิบชิดกัน  ไม่เหยียดตรงข้างหน้า  แขนทั้งสองกางออกจากลำตัวพอสมควร  เงยหน้ามองต่อสิ่งที่เคารพ  ลำตัวตรง  หหลังไม่งอหรือน้อม
 ๒)  การไหว้  หรือที่เรียกว่า  วันทา  คือ  การกระพุ่มมือประนมขึ้นจรดหน้าผาก  พร้อมกับก้มศรีษะเล็กน้อย  หัวแม่มืออยู่ระหว่างคิ้ว  ปลายนิ้วจรดหน้าผาก  ไหว้แล้วลดมือลง
 ๓)  การกราบ  หรือที่เรียกว่า  อภิวาท  คือ  การหมอบลงกับพื้นพร้อมกับกระพุ่มมือหรือประนมมือ  อันเป็นกิริยาการแสดงความเคารพอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างสูงสุด  การกราบพระรัตนตรัยใช้วิธีการกราบที่พร้อมด้วยองค์  ๕  หรือ  เบญจางคประดิษฐ์  อันประกอบด้วย  เข่า  ๒  มือ  ๒  หน้าผาก  ๑  จรดพื้น  สำหรับผู้ชายนิยมนั่งคุกเข่า   ผู้หญิงนั่งปลายเท้าจรดพื้น  นั่งทับส้นเท้า
๓)  การฟังพระธรรมเทศนา
 การฟังพระธรรมเทศนาในวาระต่างๆ  ผู้ฟังควรตั้งใจน้อมจิตไปตามกระแสธรรมที่กำลังฟังเพื่อจะได้ทราบในหลักธรรมที่พระสงฆ์กำลังเทศน์  และควรประนมมือขึ้น  เพื่อแสดงความเคารพต่อพระธรรมและพระสงฆ์  ถ้าจำเป็นต้องลุกขึ้นในขณะฟังธรรมควรยกมือไหว้ก่อนลุกขึ้นแล้วค่อยเดินออกไป
๔)  การฟังเจริญพระพุทธมนต์
 การเจริญพระพุทธมนต์  คือ  การสวดพระสูตร หรือพระปริตร อันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า  แนวความคิดเรื่องการสวดพระพุทธมนต์  นอกจากจะเป็นพุทธานุสติแล้ว  ยังเชื่ออีกว่าสามารถป้องกันภยันตรายต่างๆ  ที่จะเกิดขึ้นด้วย ด้วยเหตุนี้  การเจริญพระพุทธมนต์จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การเจริญพระปริตร หรือสวดพระปริตร
 แล้วฟังพระสงฆ์สวดเจริญพระพุทธมนต์ในงานพิธีกรรมต่างๆ  ควรแสดงความเคารพโดยการประนมมือและตั้งใจฟังอย่างสงบ  ไม่พูดคุยหรือแสดงกิริยาอาการไม่เรียบร้อย
๕)  การฟังสวดพระอภิธรรม การไปร่วมงานศพควรแต่งตัวให้เกียรติแก่เจ้าภาพ  ด้วยการใส่ชุดขาวดำ  ไม่ควรแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาด  เมื่อถึงเวลาพระสงฆ์สวดพระอภิธรรม  ควรประนมมือตั้งใจฟัง  ระลึกตามด้วยมรณานุสสติ  ไม่ควรพูดคุย  หยอกล้อ  หรือส่งเสียงดังในระหว่างที่พระสงฆ์สวดพระอภิธรรมอยู่


บรรพชาอุปสมบท

      



        การบวชนับเป็นธรรมเนียมประเพณีของชาวไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง เพราะผู้มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา มีจุดมุ่งหมายที่จะให้บุตรของตนได้เป็นศาสนทายาทสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไป และอีกประการหนึ่งเป็นจุดประสงค์ของผู้เป็นบิดามารดาที่ต้องการให้บุตรของตนได้ศึกษาเรียนรู้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เพื่อจะได้นำเอาหลักคำสอนมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันในการที่จะอยู่ครองเรือนเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ในภายหน้า
การบวชจะมี 2 ลักษณะ ได้แก่ การบวชเป็นสามเณร เรียกว่า "บรรพชา" และการบวชเป็นพระภิกษุ เรียกว่า "อุปสมบท"
          การบรรพชา หมายถึง การบวชเป็นสามเณร ซึ่งเป็นการเว้นจากพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เคยกระทำในชีวิตฆราวาส หันมาใช้ชีวิตแบบสันโดษ สงบ ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสอันเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิต การบรรพชา เป็นกิจเบื้องต้นของการอุปสมบท
คุณสมบัติของผู้บรรพชาอุปสมบท
 1. ต้องรู้เดียงสา คือมีอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป ส่วนผู้อุปสมบทต้องอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป
 2. ไม่เป็นโรคติดต่อ หรือโรคร้ายแรงเช่น โรคเรื้อน โรคฝีดาษ โรคกลาก โรคมงคร่อ หอบหืด ลมบ้าหมูและโรคที่สังคมรังเกียจอื่น ๆ
 3. ไม่เป็นผู้มีอวัยวะบกพร่อง หรือพิการ เช่น มือด้วน แขนด้วน ขาเป๋ ตาบอด หูหนวก เป็นใบ้ เป็นง่อย
 4. ไม่เป็นคนมีอวัยวะไม่สมประกอบ เช่น เตี้ยเกินไป สูงเกินไป คนคอพอก
 5. ไม่เป็นคนทุรพล เช่น แก่เกินไป ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
 6. ไม่เป็นคนมีพันธะ คือ คนที่บิดามารดาไม่อนุญาต คนมีหนี้สินล้นพ้นตัว ข้าราชการที่ไม่ได้รับอนุญาต
 7. ไม่เป็นคนเคยถูกลงอาญาหลวง เช่น คนถูกสักหมายโทษ คนถูกเฆี่ยนหลังลาย
 8. ไม่เป็นคนประทุษร้ายความสงบ เช่น เป็นโจรผู้ร้ายต้องอาญาแผ่นดิน
การอุปสมบท หรือการบวชเป็นพระภิกษุที่ใช้มาตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบันมี 3 วิธีคือ
 1. เอหิภิกขุอุปสัมปทา หมายถึง การบวชด้วยพระวาจาของพระพุทธเจ้าว่า “จงเป็นภิกษุมาเกิด” เป็นวิธีการอุปสมบทที่พระพุทธเจ้าทรงประทานให้โดยตรงการอุปสมบทแบบนี้มีเฉพาะในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่
 2. ติสรณคมนูปสัมปทา หมายถึง การบวชด้วยการถึงซึ่งที่พึ่งที่ระลึก 3 ประการ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นวิธีอุปสมบทที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสาวกบวชให้แก่ผู้ต้องการบวช โดยให้ผู้นั้นปลงผมและหนวดเครา ห่มผ้ากาสาวพัสตร์แล้วกราบพระภิกษุผู้ที่จะบวชให้พระภิกษุนั้นกล่าวนำถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกให้ผู้ต้องการบวชกล่าวตาม เท่ากับเป็นคำปฏิญาณตนเข้านับถือพระพุทธศาสนา เมื่อกล่าวคำถึงพระรัตนตรัยจบแล้วเป็นอันสำเร็จเป็นภิกษุ การอุปสมบทแบบนี้ใช้ควบคู่มากับเอหิภิกขุอุปสัมปทา
 3. ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา หมายถึง การบวชด้วยคำประกาศย้ำ 3 ครั้ง รวมทั้งคำประกาศนำเป็นครั้งที่ 4 เป็นวิธีอุปสมบทที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สงฆ์บวชให้แก่กุลบุตร โดยให้ผู้นั้นบวชเป็นสามเณรชั้นหนึ่งก่อน แล้วให้ขออุปสมบท จากนั้นพระกรรมวาจาจารย์สวนประกาศน้ำครั้งที่ 1 ว่าสงฆ์จะรับผู้นั้นเป็นภิกษุหรือไม่ เมื่อสงฆ์ยังนิ่งอยู่ก็สวดประกาศย้ำอีก 3 ครั้ง ถ้าไม่มีใครคัดค้านก็เป็นอันสำเร็จเป็นพระภิกษุ วิธีอุปสมบทแบบนี้ใช้มาตั้งแต่พุทธกาล ตอนกลางมาจนถึงปัจจุบัน และเมื่อทรงอนุญาตญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทาแล้ว ก็ทรงเลิกเอหิภิกขุอุปสัมปทา และติสรณคมนูปสัมปทาเสีย
ประโยชน์ของการบรรพชาและอุปสมบท
 1. เป็นการทำหน้าที่ของพุทธศาสนิกชน หมายความว่า พุทธศาสนิกชนจะช่วยรักษาพระพุทธศาสนาโดยรักษาพระธรรมวินัยให้เจริญมั่นคง เพราะว่าพระพุทธศาสนาก็คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ายังดำรงอยู่ ก็จะเป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลาย ช่วยให้เขามีชีวิตที่ดีงาม และสังคมที่ร่มเย็นเป็นสุข วิธีที่ดีที่สุดในการรักษาพระพุทธศาสนา ก็คือ การบวชเข้าไปเรียนรู้พระธรรมวินัย และรักษาถ่ายทอดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าต่อกันไป เรียกว่า สืบต่ออายุพระพุทธศาสนา
 2. เป็นการทำหน้าที่ของคนไทย หมายความว่า พระพุทธศาสนาเข้ามาอยู่ในสังคมไทย และได้กลายเป็นมรดกของชนชาติไทย คนไทยได้เห็นว่าพระพุทธศาสนาเป็นทรัพย์สมบัติที่มีค่าสูงสุดของประเทศชาติและสังคมของเราเพราะว่าเมื่อพระพุทธศาสนาเข้ามาแล้ว ก็ให้หลักธรรมคำสอน ทำให้คนประพฤติดีงามเป็นหลักให้แก่สังคม ทำให้สังคมอยู่กันได้ด้วยสันติสุข มีการเบียดเบียนกันน้อยลง ถ้ามีคนดีมากกว่าคนชั่วสังคมนี้ก็อยู่ได้ พระพุทธศาสนาได้ช่วยให้คนมากมายกลายเป็นคนดีขึ้นมา นอกจากนั้นพระพุทธศาสนาเป็นรากฐานของวัฒนธรรม ตั้งแต่ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี การศึกษา ดนตรีและศิลปะต่าง ๆ ก็มาจากวัดวาอาราม เป็นต้น
 3. เป็นการสนองพระคุณบิดามารดา ดังที่ถือกันเป็นประเพณีว่า ถ้าใครได้บวชลูกแล้ว ก็ได้บุญกุศลมาก ช่วยให้พ่อแม่ได้เกาะชายผ้าเหลืองไปสวรรค์ ตลอดจนได้เป็นญาติของพระศาสนา แต่ถ้ามองความหมายให้ลึกซึ้งลงไปก็เป็นเรื่องความเป็นจริงของชีวิตจิตใจ กล่าวคือ การบวชเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้จิตใจของพ่อแม่มีความสุข มีความปลาบปลื้มใจ ด้วยความหวังว่าเมื่อลูกได้เข้าไปอยู่ในวัด ได้ศึกษาอบรมในพระธรรมวินัยแล้ว ต่อไปก็จะเป็นคนดี จะรับผิดชอบชีวิตของตนเองได้ จะรับผิดชอบต่อครอบครัวและสังคมได้ แล้วเกิดความมั่นใจ พ่อแม่ก็จะมีความสุขเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อลูกบวช ก็เท่ากับจูงพ่อแม่เข้ามาสู่พระศาสนาด้วย มีโอกาสได้ฟังธรรม ได้เรียนรู้ธรรมะ ทำให้ได้ใกล้ชิดพระศาสนา เรียกว่าเป็นญาติของพระศาสนาอย่างแท้จริง
 4. เป็นการฝึกอบรมพัฒนาตนเอง คือการพัฒนาชีวิตทั้งในด้านความประพฤติ คือพฤติกรรมทางกาย วาจา และด้านจิตใจที่มีความดีงาม เข้มแข็ง มั่นคง เป็นสุข และในด้านปัญญาคือความรู้ความเข้าใจสิ่งทั้งหลายตรงตามความเป็นจริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น