วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

งานที่3พระพุทธศาสนาเป็นมรดกทางวัฒนธรรมล้ำค่าของชาติไทย

พระพุทธศาสนาเป็นมรดกทางวัฒนธรรมล้ำค่าของชาติไทย

          พระพุทธศาสนาเป็นมรดกทางจิตใจ คือ เป็นคุณธรรมที่ถ่ายทอดจนติดเป็นนิสัยของคนไทย นอกจากนี้พระพุทธศาสนาเป็นมรดกทางวัตถุ เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของชาติโดยศึกษาจากโบราณสถาน โบราณวัตถุ เช่น วัด เจดีย์ พระพุทธรูป

          สิ่งเหล่านี้สร้างจากพลังศรัทธาในพระพุทธศาสนาของคนรุ่นก่อนโดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้เกิดคุณค่าทางศิลป-วัฒนธรรมต่าง ๆ ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณคดีในทางพระพุทธศาสนา ศิลปวัฒนธรรมเหล่านี้สามารถคุณค่าด้านเศรษฐกิจ คือเป็นแหล่งท่องเที่ยวนำรายได้เข้าสู่ประเทศอีกด้วย


พระพุทธศาสนาเป็นหลักในการพัฒนาชาติไทย

          พระพุทธศาสนาทั้งในส่วนที่เป็นหลักธรรมคำสอน ส่วนที่เป็นสถาบันสงฆ์ และอาราม มีส่วนร่วมในการพัฒนาชาติมาโดยตลอด ตั้งแต่อดีต วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน พระสงฆ์เป็นผู้นำทางจิตใจ และเป็นครูอาจารย์ของชุมชน  ศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ พัฒนาขึ้นในวัด เมื่อผู้ได้รับการศึกษาไปอยู่ในชุมชนใดก็ใช้ความรู้ทางศาสนาที่ได้จากวัดเป็นเครื่องนำวิถีชีวิตของครอบครัวและสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข


พุทธประวัติ

การประสูติ

          พระเจ้าสุทโธทนะ (พุทธบิดา) กับพระนางสิริมหามายา (พุทธมารดา) ได้เสวยราชสมบัติครองกรุงกบิลพัสดุ์อย่างสันติสุข ในเวลาต่อมาพระนางสิริมหามายาก็ทรงพระครรภ์ เมื่อจวนจะประสูติ พระนางได้ทูลขอพระสวามีเสด็จไปประสูติพระราชบุตรที่บ้านเดิมตามธรรมเนียมพราหมณ์ที่กรุงเทวทหะ

          แต่ในขณะเดินทางพระนางเกิดประชวรพระครรภ์ เจ้าชายสิทธัตถะจึงประสูติที่พระราชอุทยานลุมพินีวัน ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ เมื่อวันเพ็ญ เดือน ๖


ชีวิตในวัยเยาว์

          เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุได้ ๗ พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะทรงมอบความสุขสำราญ รับสั่งให้ขุดสระ ๓ สระและทรงมอบพระโอรสเข้าศึกษาที่สำนักของครูวิศวามิตร แม้ว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นกษัตริย์ พระองค์ก็ทรงรู้จักวางตนเคารพบูชาต่อครูอาจารย์


อภิเษกสมรส

          เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา พระราชบิดาได้จัดอภิเษกสมรสกับพระนางยโสธราหรือพระนางพิมพาและสร้างปราสาท ๓ ฤดู เพื่อให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงพระเกษมสำราญกับความสุขทาง

โลก


มูลเหตุที่ออกบวช

          เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ เสวยความสุขสำราญในโลกิยสุขเป็นเวลา ๒๙ พรรษา วันหนึ่งเมื่อพระองค์เสด็จประพาสอุทยาน ได้เห็นเทวทูต ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ เป็นความทุกข์  เพื่อให้พ้นจากความทุกข์ควรเป็นนักบวชที่มีความสงบ  ในวันเดียวกันพระองค์ก็ทรงทราบข่าวการประสูติพระโอรส พระนามว่า ราหุล พระองค์จึงทรงเปล่งอุทานว่า บ่วงเกิดแล้ว


แสวงหาโมกขธรรม

          เมื่อบวชแล้ว เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์เพื่อศึกษาในสำนักอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ครั้งแรก ศึกษาในสำนักอาฬารดาบส และอุทกดาบส จนหมดความรู้ของครู อาจารย์ ทรงพิจารณาเห็นว่ามิใช่หนทางแห่งการตรัสรู้ จึงเสด็จต่อไปอีก จนถึงสถานที่แห่งหนึ่งในเขตอุรุเวลาเสนานิคม


การตรัสรู้

          ในขณะที่พระองค์กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่นั้น ได้มีปัญจวัคคีย์ คือ โกญฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ

มหานามะ อัสสชิ มาปรนนิบัติอยู่ตลอดเวลาเพื่อหวังว่าเมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วจะได้แสดงธรรมแก่พวกตนบ้าง และเมื่อพระองค์ทรงละความพยายามในการบำเพ็ญทุกรกิริยา ปัญจวัคคีย์จึงได้พากันหลีกหนีไป

          เมื่อปัญจวัคคีย์พากันหนีไปแล้วพระองค์จึงได้บำเพ็ญเพียรทางจิตตลอดมาจนถึงวันเพ็ญ เดือน ๖ พระองค์ได้รับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดา เมื่อเสวยแล้วจึงได้ลอยถาดทองคำในแม่น้ำเนรัญชรา

          แล้วทรงตั้งอธิษฐานว่า ถ้าพระองค์จะได้ตรัสรู้ขอถาดทองคำนั้นจงลอยทวนกระแสน้ำซึ่งถาดนั้นก็ได้ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไปจริง ๆ เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นนิมิตนั้นแล้วจึงประทับ ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตั้งปณิธานว่า แม้เนื้อหนังจะเหี่ยวแห้งไป ถ้าไม่บรรลุธรรม จะไม่ลุกจากอาสนะนี้

          ในคืนวันเพ็ญ เดือน ๖ พระองค์ได้เจริญภาวนา ทำให้จิตเป็นสมาธิจนได้บรรลุฌาน ๓ ประการตามระยะเวลาในค่ำคืนนั้น โดย

          ยามที่ ๑ พระองค์สามารถระลึกชาติได้

          ยามที่ ๒พระองค์สามารถมองเห็นการจุติและการเกิดของมวลสัตว์โลกทั้งปวง

          ยามที่ ๓ พระองค์ได้บรรลุอริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค


ประกาศศาสนา

          เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้วได้เสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายาวัน เมืองพาราณสี เพื่อโปรดปัญจวัคคีย์ด้วยพระธรรมเทศนา ชื่อว่า ธัมมจักปปวัตนสูตร จนปัญจวัคคีย์บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ต่อจากนั้นมีผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธองค์ ถวายตัวเป็นศิษย์ บรรลุพระอรหันต์เป็นอันมากท่านเหล่านั้นจึงเป็นกำลังสำคัญในการประกาศพระศาสนา


เสด็จดับขันธปรินิพพาน

          เมื่อพระพุทธเจ้าได้ประกาศศาสนามาถึง ๔๕ พรรษา ขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุ ๘๐พรรษา จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน กรุงกุสินารา เมื่อวันเพ็ญ เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช 1  ปี


เสด็จกรุงกบิลพัสดุ์

          พระพุทธเจ้าทรงได้รับเชิญจากพระเจ้าสุทโธทนะ (พุทธบิดา) ให้เสด็จมากรุงกบิลพัสดุ์ เมื่อพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จมาถึงบรรดาพระประยูรญาติ ซึ่งมานั่งต้อนรับต่างนึกกระดากใจในการที่น้อมถวายอภิวาทพระพุทธเจ้า ซึ่งมีอายุน้อยกว่าตน จึงจัดให้พระประยูรญาติผู้น้อย และผู้คราวบุตรหลานออกไปนั่งข้างหน้า เพื่อถวายอภิวาทแก่พระพุทธเจ้า ส่วนพวกตนพากันถอยออกมานั่งอยู่ข้าง ไม่ถวายอภิวาท

          พระพุทธเจ้าทรงเห็นดังนั้นจึงทรงเหาะขึ้นลอยอยู่ในอากาศให้ปรากฏประหนึ่งว่าละอองธุลีพระบาทไม่หล่นตรงศีรษะของพระประยูรญาติ เพื่อลดทิฐิมานะคลายความถือตัวลงบ้าง

          เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะเห็นดังนั้นจึงเกิดความอัศจรรย์ในพระหฤทัย ประนมหัตถ์ถวายบังคมพระพุทธเจ้า พร้อมเหล่าพระประยูรญาติด้วยความเคารพ

          กล่าวกันว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาประทับนั่งแล้วท้องฟ้ามืดครึ้ม และสายฝนสีแดง เรียกว่า ฝนโบกขรพรรษ ตกลงมาในท่ามกลางที่ประชุมของพระประยูรญาติ สายฝนซึ่งตกลงมานั้นถ้าใครต้องการให้เปียกจึงเปียก หากไม่ต้องการแม้เพียงเม็ดเดียวก็มิได้เปียกตัว แล้วตรัสเทศนาเวสสันดรชาดก เมื่อจบลงแล้วเหล่าพระประยูรญาติถวายส่งพระพุทธเจ้าเสด็จกลับ


พุทธกิจสำคัญอื่น ๆ

          สมัยหนึ่ง บุตรเศรษฐีแห่งเมืองพาราณสีผู้หนึ่งชื่อว่า ยสะ มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างผาสุกทางโลก อยู่ต่อมาในค่ำคืนหนึ่ง ยสกุลบุตร นอนหลับไปก่อน ฝ่ายนางบำเรอและบริวารต่างหลับภายหลัง ค่ำคืนนั้นขณะดึกสงัด แสงเทียนยังคงสว่างอยู่

          ยสกุลบุตรตื่นขึ้นมาพบภาพเหล่าบริวารนอนหลับเกลื่อนกลาด บ้างก็นอนกรนบ้างก็นอนละเมอพึมพำ แสดงอาการน่าสังเวชสลดใจยิ่งนัก ดุจซากศพที่ทิ้งไว้ในป่าช้า ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีดังแต่ก่อน จึงเปล่งอุทานว่า ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ จนยสกุลบุตรทนอยู่ที่นั้นไม่ได้ เดินออกจากห้องไปตามเส้นทางหนึ่ง ผ่านเข้าไปในป่าอิสิปตนมฤคทายวันด้วยจิตใจอันร้อนรุ่ม

          ขณะใกล้รุ่งสาง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นั้น ทรงได้ยินเสียงบ่นของยสกุลบุตร จึงตรัสว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ท่านจงมาที่นี่เถิด เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน

          ยสกุลบุตรได้ยินเสียงนั้นจึงดีใจ ถอกรองเท้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ด้วยความสบายใจ ปราศจากความฟุ้งซ่านต่าง ๆ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาสั่งสอนฟอกจิตของยสกุลบุตรให้ห่างจากความยินดีในกามอารมณ์ จนสามารถแสดงธรรมที่เรียกว่า อริยสัจ ๔ เพื่อบรรลุมรรคผลนั่นเอง


ชาดก

จุลฬกเสฏฐิชาดก

          ครั้งหนึ่งในอดีตกาล มีเศรษฐีผู้หนึ่งชื่อจุลฬกะ เป็นผู้มีความสามารถในการพยากรณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำโดยอาศัยเหตุจากนิมิตต่าง ๆ ในวันหนึ่ง จุลฬกเสฏฐีนั่งรถม้าไปยังราชสำนัก พบหนูตายแล้วทำนายว่า

          ถ้าใครมีปัญญา ย่อมสามารถนำหนูตายตัวนี้ไปเป็นทุนประกอบการค้าให้เจริญรุ่งเรืองเป็นเศรษฐีได้

          ชายหนุ่มยากจนคนหนึ่งได้ยินเข้า จึงถือหนูตัวนั้นไปขายให้ยายแก่ใจบุญคนหนึ่ง สำหรับเป็นอาหารแมว ได้เงินมากากณิกเท่านั้น

          วันรุ่งขึ้นเขาจึงนำเงินนั้นไปซื้อน้ำอ้อยนำไปตั้งไว้ที่ประตูเมืองคู่กับน้ำดื่มอีกหม้อหนึ่ง เมื่อคนเก็บดอกไม้กลับจากป่ากำลังกระหายน้ำเต็มที่ผ่านมา ก็เชิญชวนให้ดื่มน้ำนั้น คนขายดอกไม้จึงมอบดอกไม้คนละกำเป็นการตอบแทน วันต่อ ๆ มา ชายหนุ่มก็ปฏิบัติเช่นเคย จนสามารถรวบรวมทรัพย์ได้ถึง ๘ กหาปณะ

          ต่อมาวันหนึ่งในต้นฤดูฝน ฝนตกหนัก พายุแรง กิ่งไม้ต้นไม้ในพระราชอุทยานหักโค่นล้มระเนระนาด ผู้รักษาพระราชอุทยานหนักใจว่าจะนำกิ่งไม้พวกนี้ไปทิ้งที่ไหนดี ชายหนุ่มจึงรับอาสาทำความสะอาดอุทยาน  โดยขอต้นไม้กิ่งไม้เหล่านั้นเป็นของตอบแทน นายอุทยานก็ตกลงทันที

          เขาจึงไปยังสนามเด็กเล่น ชักชวนเด็ก ๆ มาดื่มน้ำอ้อย แล้วให้ช่วยกันขนต้นไม้ไปกองที่ประตูพระราชอุทยาน เด็กเหล่านั้นก็ช่วยกันขนอย่างสนุกสนาน ครู่เดียวก็เสร็จ ส่วนเขาเองไปหาช่างปั้นหม้อของหลวงเสนอขายไม้เหล่านั้นทำฟืน ได้ทรัพย์ถึง ๑๖ กหาปณะ และยังได้โอ่งน้ำเนื้อดีใบใหญ่และหม้อไหต่าง ๆแถมมาอีก ๕  ใบด้วย

          เขานำโอ่งใส่น้ำดื่มไปตั้งไว้ใกล้ปากประตูเมือง เชิญชวนให้คนเกี่ยวหญ้าเลี้ยงสัตว์ประมาณ ๕๐๐ คน ดื่มแก้กระหาย คนเกี่ยวหญ้าเหล่านั้นดื่มน้ำแล้ว ก็คิดจะตอบแทนคุณจึงถามว่ามีธุระสิ่งใดให้ช่วยบ้าง เขาตอบว่า ขณะนี้ยังไม่มี ต่อเมื่อไรมีจึงแจ้งให้ทราบ

          อยู่ต่อมาไม่กี่วัน เขาได้ข่าวว่าวันรุ่งขึ้นจะมีพ่อค้านำม้ามาที่เมืองนี้ถึง ๕๐๐ ตัวเขาจึงเอ่ยปากขอหญ้าจากคนเกี่ยวหญ้าคนละฟ่อน และขอร้องว่า ถ้าเขายังไม่ได้ขายหญ้าเหล่านั้นแล้วก็ขอให้คนเกี่ยวหญ้าอย่าเพิ่งขายหญ้าของตนเป็นอันขาด วันนั้นเขาได้หญ้าถึง ๕๐๐ ฟ่อน เมื่อพ่อค้าม้ามาหาซื้อหญ้าเลี้ยงม้าจากที่ใดไม่ได้เลย จึงต้องซื้อจากเขาเป็นเงินสูงถึง  ๑,๐๐๐กหาปณะ และยังให้คนเกี่ยวหญ้าขายหญ้าได้ในราคาดีตามไปด้วย

          อีก ๒-๓ วันต่อมา มีคนส่งข่าวอีกว่า บัดนี้เรือบรรทุกสินค้ามาถึงท่าแล้ว เขาจึงรีบหาเช่ารถม้าซึ่งมีบริวารมาด้วยอย่างโก้หรูขับไปที่ท่าเรือ แล้วมัดจำสินค้าทั้งหมดไว้ เมื่อพ่อค้านับร้อยคนของเมืองพาราณสีมาขอซื้อสินค้า นายเรือก็แจ้งว่ามีพ่อค้าใหญ่มามัดจำสินค้าไปหมดแล้ว

          พ่อค้าเหล่านั้นจึงขอร่วมลงทุนในเรือสินค้ากับเขาคนละ ๑,๐๐๐ กหาปณะ และอีก ๑,๐๐๐ กหาปณะ  สำหรับเป็นค่าสินค้า เขาจึงขายสินค้านั้นให้ไปได้กำไรทันที 200,000 กหาปณะ

          ชายหนุ่มมีฐานะร่ำรวยขึ้นทันตาเห็น ภายในเวลา ๕  เดือนเท่านั้น เขาได้นำทรัพย์จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ กหาปณะ เป็นเครื่องสักการะแทนดอกไม้ธูปเทียนไปกราบท่านจุลฬกเสฏฐี เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที แล้วเล่าเรื่องทั้งปวงของตนให้ฟังท่านเศรษฐีเห็นความมีสติปัญญา ความเพียรพยายาม และมีความกตัญญูกตเวที จึงยกธิดาและทรัพย์สมบัติให้ครอบครอง ต่อมาเมื่อจุลฬกเสฏฐีสิ้นชีวิตแล้ว ชายหนุ่มผู้นี้ได้ตำแหน่งเศรษฐีของเมืองพาราณสีต่อไป


ข้อคิดจากจุลฬกเสฏฐิชาดก

          1. ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี

          2. การทำงานนั้นต้องรู้จักสังเกตเพื่อปรับปรุงงานที่ทำให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ

          3. ไม่เป็นคนเลือกงาน หรือดูถูกงานต่ำต้อย เมื่อพิจารณาว่างานนั้นเป็นอาชีพสุจริต ไม่ผิดศีลธรรมแล้ว ก็ควรทำ

          4. ไม่เป็นคนเกียจคร้าน ไม่เห็นแก่หลับนอน การงานใด ๆ ก็ตามไม่ว่างานใหญ่หรืองานเล็กจะต้องมีความพยายามไม่ลดละ ตั้งใจและเอาใจใส่ในงานที่ทำอยู่เสมอ รู้จักหาวิธีการทำงานให้สำเร็จด้วยดี แต่ทั้งนี้เราจะต้องเป็นคนที่ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมด้วย จึงจะเป็นที่ยอมรับนับถือของผู้ร่วมงาน


วัณณาโรหชาดก

          สมัยหนึ่ง พระโพธิสัตว์เกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ในป่า ครั้งนั้นสิงโต และเสืออาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งมีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งดูแลรับใช้สิงโตและเสือ อาศัยกินอาหารที่เหลือจากสัตว์ทั้งสอง จนสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นอ้วนพี ต่อมาสุนัขจิ้งจอกคิดอยากกินเนื้อสิงโตและเสือ จึงยุให้สัตว์ทั้งสองแตกร้าวกันจะได้ต่อสู้กัดกันจนบาดเจ็บ และตายลงในที่สุด

          เมื่อสุนัขจิ้งจอกคิดได้เช่นนั้นแล้ว จึงไปยุสิงโตว่า เสือกล่าวว่าสิงโตเป็นผู้มีลักษณะชาติกำลัง และความเพียรไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของเสือ เมื่อสิงโตได้ฟังถ้อยคำนั้นแล้วก็ไม่เชื่อว่าเสือจะกล่าววาจาเช่นนั้นได้จึงบอกให้สุนัขจิ้งจอกกลับไปเสีย

          สุนัขจิ้งจอกจนปัญญาที่จะทำให้สิงโตเชื่อคำพูดของตน จึงไปหาเสือแล้วกล่าวยุยงให้เสือและสิงโตแตกแยกกันอีก เมื่อเสือได้ฟังคำยุยงของสุนัขจิ้งจอกแล้ว จึงมาไต่ถามสิงโตว่า สิงโตท่านมีเขี้ยวงาม มีชาติกำลังงามและกำลังความเพียร เช่นนี้แล้วไม่ประเสริฐกว่าเราหรือ

          สิงโตจึงเตือนสติแก่เสือว่าสุนัขจิ้งจอกต้องการจะฆ่าพวกเรา จึงกล่าวยุยงให้เราแตกแยกกัน หากบุคคลเชื่อคำพูดของผู้อื่น ก็จะทำให้มิตรแตกแยกกัน และอาจนำภัยมาสู่ตนและมิตร    ในทางตรงกันข้าม หากบุคคลระวังคำยุยงของผู้อื่นที่จะทำให้มิตรแตกแยก ตั้งข้อสงสัยในคำพูดเหล่านั้น บุคคลนั้นคือมิตรแท้ เมื่อสิงโตให้คติแก่เสือแล้วจึงเป็นมิตรที่ดีต่อกันดังเดิม ฝ่ายสุนัขจิ้งจอกต้องหลีกหนีไป

ข้อคิดที่ได้จากเรื่องวัณณาโรหชาดก

          1. เมื่อรับข้อมูล ข่าวสารใด ๆ แล้ว ควรคิดไตร่ตรองหาเหตุผลก่อนแล้วจึงเชื่อ

          2. การพูดจายุยงส่อเสียดย่อมทำให้ผู้นั้นตกลงไปในทางเสื่อม

          3. ความจริงใจย่อมรักษามิตรได้


วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

          วันสำคัญทางศาสนา เป็นวันพิเศษที่พุทธศาสนิกชนนิยมประกอบการบูชาเป็นพิเศษจากวันพระธรรมดา มีการจัดที่บูชาพระประจำบ้านให้ดูสวยงามประณีต ในตอนเย็นพุทธศาสนิกชนจะมีดอกไม้ธูปเทียนไปวัด เพื่อร่วมกันเวียนเทียนระลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัย อันได้แก่ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณจนเป็นประเพณีนิยมสืบมา


วันมาฆบูชา

          วันมาฆบูชาหมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้ายวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์อันเป็นหลักการสำคัญของศาสนา

ความสำคัญ เป็นวันที่มีเหตุการณ์อัศจรรย์ ๔ ประการ เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต คือ

          1. พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูป ล้วนเป็นพระอรหันต์

          2. พระสงฆ์สาวกเหล่านั้นเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า

          3. วันที่พระสงฆ์สาวกเหล่านั้นเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า

          4. พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหาโดยสรุป คือ ละเว้นความชั่วทุกประการ ทำความดีให้ถึงพร้อม และทำจิตให้ผ่องใส


หลักธรรมที่ควรนำปฏิบัติ

          1. การไม่ทำความชั่วทุกประการ

          2. การทำความดีให้ถึงพร้อม

          3. การทำจิตให้ผ่องใส

งานที่2 ลักษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา


ลักษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา

มาตรฐาน ส 1.1.2   สามารถเลือกสรรหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือไปประยุกต์ใช้ในการกำหนดเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตอย่างมีเหตุผลเพื่อการอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
 สาระสำคัญ      
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีหลักธรรมคำสอนที่ถือว่าเป็นหลักสากล  ซึ่งจะทำให้บุคคลที่ยึดถือหลักธรรมคำสอนดำเนินชีวิตอย่างมีกฎเกณฑ์ โดยอาศัยปัญญาเป็นแนวทางในการแก้ปัญหา หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะถือเป็นสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ เป็นหลักความจริงแท้แน่นอน ทั้งยังมีลักษณะเป็นประชาธิปไตย ซึ่งมีความสอดคล้องกับลักษณะการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทยในปัจจุบัน
จุดประสงค์การเรียนรู้
1.   อธิบายลักษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนาได้
สาระการเรียนรู้
                 
-   ลักษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา
กิจกรรมการเรียนรู้
            1.     นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่  1   เรื่องประวัติและความสำคัญของพระพุทธศาสนา
            2.   ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้
            3.   ครูให้นักเรียนดูภาพต่อไปนี้
                  Ø    ภาพพระภิกษุสงฆ์กำลังทำสังฆกรรม
                  Ø    ภาพการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
                  ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้
                  Ø    ในภาพ 2 ภาพนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร
                  Ø    ในภาพ 2 ภาพนั้นมีความเหมือนกันอย่างไรบ้าง
                  นักเรียนทุกคนช่วยกันแสดงความคิดเห็นร่วมกันได้อย่างเสรี เป็นการฝึกทักษะการคิดให้แก่นักเรียน
2

            4.   ครูชี้แจงโดยเน้นให้นักเรียนเห็นความเหมือนซึ่งเป็นประเด็นสำคัญคือการมีลักษณะของความเป็นประชาธิปไตย แสดงให้เห็นว่าในสังคมของพระภิกษุสงฆ์ซึ่งเป็นสาวกของพระพุทธเจ้านั้น มีความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของลักษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา
            5.   แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆ ละ 4 คน คละกันตามความสามารถ คือ เก่ง ปานกลางค่อนข้างเก่ง ปานกลางค่อนข้างอ่อน และอ่อน ศึกษาความรู้เรื่อง ลักษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนาในหนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐานสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พระพุทธศาสนา ม.5 และใบความรู้ที่ 1.1 เรื่อง หลักการสำคัญของประชาธิปไตย และช่วยกันวิเคราะห์ตามหัวข้อที่กำหนดในใบงานที่ 1.1 เรื่อง วิเคราะห์ลักษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา
            6.   ครูสุ่มตัวแทนกลุ่มออกมานำเสนอผลงานหัวข้อละ 1 กลุ่ม และให้กลุ่มอื่นที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันเสนอเพิ่มเติม ต่อจากนั้นครูและนักเรียนช่วยกันสรุปร่วมกันถึงลักษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา
            7.    ครูนำข่าวเหตุการณ์จากหนังสือพิมพ์มาเล่าให้นักเรียนฟังและตั้งคำถามให้นักเรียนตอบ  เช่น นักเรียนเชื่อข่าวที่เล่าทุกเรื่องหรือไม่ เพราะอะไร
ตัวอย่างหัวข้อข่าว เช่น
                  Ø    ข่าวสมาชิกสภาผู้แทนฝ่ายค้านโจมตีการบริหารงานของรัฐบาล
                  Ø    การแถลงข่าวผลงานของรัฐบาลด้านต่างๆ
                  Ø    ข่าวตำรวจจับคนร้ายที่เจ้าของบ้านกล่าวหาว่าขโมยของมีค่าจำนวนสิบล้านบาท
                                                                        ฯลฯ                                                                                                                                                           
                                                                                                                                                                  

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

งานที่1ความคิดเกื่ยวกับพระที่ออกมาร่วม นปช

 เดี๋ยวนี้จะหาพระสงฆ์ที่เป็นพระจริง ๆ ได้สักกี่รูป เดินเที่ยวห้างบ้าง เล่นสีกาบ้าง ฯลฯล้วนแล้วแต่หาที่ดี ๆ ยาก  เพราะฉะนั้นการที่พระมาทำกิจกรรมการเมืองบ้างก็ไม่น่าเสียหายอะไร  อันที่จริงเรื่องพระกับกิจกรรมทางการเมืองนี้สันติอโศกเคยออกมาเล่นก่อน ด้วการเข้าไปร่วมกับพันธมิตรยึดทำเนียบรัฐบาล อย่าเถียงนะครับว่าว่าสันติอโศกไม่ใช่พระ เพราะแม้ทางนิตินัยไม่ไช่ แต่พฤติกรรมนั้นทำตัวเป็นพระที่เคร่งครัดชัดเจนมาก