วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

งานที่10หน้าที่ของชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธและบรรพชาอุปสมบท


หน้าที่ของชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ บรรพชาอุปสมบท
หน้าที่ของชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ

หน้าที่ชาวพุทธ
   ชาวพุทธ  คือ  ผู้ที่เคารพเลื่อมใสและศรัทธาในพระรัตนตรัย  มีหน้าที่ในการศึกษาและปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา  ในความเคารพนับถือต่อพระรัตนตรัย  เอาใจใส่ทำนุบำรุง  และบำเพ็ญประโยชน์ต่อวัดและพระสงฆ์  นอกจากนี้ยังต้องปฏิบัติตนอย่างมีมารยาท  ที่ถูกต้องและเหมาะสมต่อพระสงฆ์  และนำแนวทางการปฏิบัติตนของพระสงฆ์มาเป็นแบบอย่างที่ดีงามในการดำเนินชีวิต
๑)  หน้าที่ชาวพุทธโดยทั่วไป
   ๑)  ด้านการศึกษาและปฏิบัติธรรม

ชาวพุทธที่ดีควรให้ความสนใจศึกษาค้นคว้าหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา  และน้อมนำหลักธรรมที่ได้ศึกษาแล้วมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมแก่ฐานะของตน  รวมทั้งการแสดงความเป็นชาวพุทธที่ดีด้วยการทำบุญบำเพ็ญกุศล  เข้าร่วมพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาในโอกาสสำคัญต่างๆ
   ๒)  ด้านการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา
          ๒.๑)  การอุปถัมภ์พระภิกษุสามเณร
   พระภิกษุสามเณรนอกจากมีหน้าที่ในการศึกษาธรรม  ปฏิบัติธรรม  และสั่งสอนธรรมแล้ว  ยังต้องปฏิบัติศาสนกิจอื่นๆ  เพื่อความดีงามและความสงบสุขของประชาชน  ด้วยการแนะนำสั่งสอนประชาชนให้เป็นคนดีมีคุณธรรม  ดังนั้นเพื่อแสดงออกถึงความกตัญญูต่อคุณูปการของพระภิกษุสามเณร  ชาวพุทธที่ดีจึงควรช่วยอุปถัมภ์  บำรุงและส่งเสริมพระภิกษุสามเณร  เพื่อให้มีกำลังในการปฏิบัติศาสนกิจ  สืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้มั่นคงสืบไป
          ๒.๒)  การทำนุบำรุงวัดและพุทธศาสนสถาน 
   พระพุทธศษสนามีวัดเป็นศูนย์กลางสำหรับการบำเพ็ญกุศล  การฝึกอบรม  และการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน  โดยมีพระสงฆ์ในฐานะศษสนบุคคลเป็นผู้ชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิต  วัดจึงเป็นอุทยานการศึกษาเพราะเป็นแหล่งการเรียนรูสำคัญทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ  วัดบางแห่งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติและมรดกโลก
          ๒.๓)  ด้านการปฏิบัติตนเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม 
   ชาวพุทธที่ดี  คือ  ผู้ปฏิบัติตนในฐานะที่เป็นพลเมืองดีของชาติด้วยการดำรงตนอยู่ในกรอบของกฎหมาย  ปฏิบัติตนตามสิทธิและหน้าที่อย่างเหมาะสม  ไม่ละเมิดกฎระเบียบและกติกาของสังคม
          ๒.๔)  ด้านการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา 
   พระพุทธศาสนาถือเป็นมรดกของชาติไทยที่บรรพบุรุษได้ปกป้องคุ้มครองมาด้วยชีวิต  เมื่อวิกฤตการณ์เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา  ชาวพุทธไม่ควรนิ่งดูดายและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์เพียงฝ่ายเดียว  ควรช่วยกันแก้ไขระงับเหตุการณ์มิให้ลุกลามใหญ่โต

๒)  หน้าที่ของนักเรียนในฐานะที่เป็นชาวพุทธ
   ๑)  การเรียนรู้วิถีชีวิตของพระสงฆ์ 
   พระสงฆ์  คือ  กลุ่มบุคคลที่มีความศรัทธาเลื่อมใสในคำสอนของพระพุทธเจ้า  แล้วสละความเป็นคฤหัสถ์ไปดำเนินชีวิตตามแบบบรรพชิตด้วยการศึกษาเรียนรู้  ฝึกหัดตนเองตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า  และเมื่อสามารถพัฒนาตนเองให้มีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมได้ในระดับนึงแล้ว  ก็นำหลักธรรมเหล่านั้นมาอบรมสั่งสอนประชาชนให้มีความรู้  ความเข้าใจในธรรมะ  และนำไปปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
   ๒)  การปฎิบัติตนอย่างเหมาะสมต่อเพื่อน
   พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกันในสังคม  จึงมีคำสอนเรื่องการคบเพื่อน  และการปฏิบัติตนในฐานะที่เป็นเพื่อนที่ดี  ดังนี้

                                                       เพื่อน

ข้อที่พึงปฏิบัติต่อเพื่อน

ข้อที่พึงปฏิบัติตอบแทนเพื่อน 
 เผื่อแผ่แบ่งปัน ช่วยเหลือป้องกัน  เมื่อเพื่อนประมาท
 พูดจาด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ  มีน้ำใจ   ช่วยรักษาทรัพย์สิน  เมื่อเพื่อนประมาท
 ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล                                     เป็นที่พึ่งได้  เมื่อเพื่อนมีภัย                                      
 วางตนเสมอต้นเสมอปลาย  ร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ละทิ้งในยามทุกข์ยาก
 ซื่อสัตย์จริงใจ ให้ความนับถือตลอดถึงญาติของเพื่อน
   นอกจากหลักปฏิบัติต่อกันระหว่างเพื่อนที่ดีดังที่กล่าวแล้ว  การคบเพื่อนควรเรียนรู้ลักษณะของเพื่อน  ที่เรียกว่า  มิตรแท้-มิตรเทียม  เพื่อส่งเสริมประโยชน์และป้องกันโทษที่จะเกิดขึ้นจากการคบเพื่อน
มารยาทชาวพุทธ


มารยาทชาวพุทธ
 มารยาทชาวพุทธ  หมายถึง  กิริยาวาจาของผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาที่ถือว่าเรียบร้อยซึ่งพระพุทธศาสนามีหลักคำสอนเพื่อฝึกหัดกิริยามารยาทของชาวพุทธให้มีความงดงาม  และเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็น  เช่น มารยาทเกี่ยวกับการปฏิบัติตนต่อพระสงฆ์ เป็นต้น
๑)  การเข้าพบพระสงฆ์
 ๑)  ข้อปฏิบัติก่อนเข้าพบพระสงฆ์
          เนื่องจากพระสงฆ์ดำเนินชีวิตตามหลักพระธรรมวินัยอาจมีข้อห้ามบางอย่างที่เราไม่ทราบ  ดังนั้น  ก่อนเข้าพบพระสงฆ์ควรติดต่อสอบถามข้อปฏิบัติ  และควรแจ้งความประสงฆ์ขออนุญาตเข้าพบท่านก่อนทุกครั้ง  เมื่อท่านอนุญาตจึงจะเข้าพบได้
 ๒)  ข้อปฏิบัติเมื่อถึงที่อยู่ของพระสงฆ์
          เมื่อไปถึงวัดหรือสถานที่ที่ได้นัดหมายท่านไว้  ควรคุกเข่ากราบเบญจางคประดิษฐ์  หากสถานที่นั้นมีโต๊ะหมู่บูชาประดิษฐานพระพุทธรูป  ให้กราบพระพุทธรูปก่อนแล้วค่อยกราบพระสงฆ์  เสร็จแล้วนั่งพับเพียบเก็บเท้าให้เรียบร้อย  และไม่นั่งเสมอพระสงฆ์
 ๓)  ข้อปฏิบัติขณะสนทนากับพระสงฆ์
          ควรใช้คำพูดให้ถูกต้องเหมาะสมตามฐานะ  หากเป็นการสนทนากับพระเถระผู้ใหญ่  ควรประนมมือพูดและรับคำพูดของท่านทุกครั้ง  พูดคุยเฉพาะกิจธุระสำคัญ
 ๔)  ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการเดินทางของพระสงฆ์
          การเดินสวนทางกับพระสงฆ์ควรหลีกทางด้านขวามือของเรา  หรือด้านซ้ายของพระสงฆ์  เมื่อท่านเดินมาถึงตรงหน้าควรน้อมตัวลงไหว้และรอจนกว่าท่านจะเดินผ่านเลยไป  จึงเดินต่อไปตามปกติ
๒)  การแสดงความเคารพพระรัตนตรัย
 ๑)  การประนมมือ  หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  อัญชลี  เป็ฯการกระพุ่มมือทั้งสองประนมโดยใช้ผฝ่ามือประกบกัน  ให้ฝ่ามือทั้งสองชิดกันตั้งไว้ระหว่างอก  นิ้วมือทั้งสิบชิดกัน  ไม่เหยียดตรงข้างหน้า  แขนทั้งสองกางออกจากลำตัวพอสมควร  เงยหน้ามองต่อสิ่งที่เคารพ  ลำตัวตรง  หหลังไม่งอหรือน้อม
 ๒)  การไหว้  หรือที่เรียกว่า  วันทา  คือ  การกระพุ่มมือประนมขึ้นจรดหน้าผาก  พร้อมกับก้มศรีษะเล็กน้อย  หัวแม่มืออยู่ระหว่างคิ้ว  ปลายนิ้วจรดหน้าผาก  ไหว้แล้วลดมือลง
 ๓)  การกราบ  หรือที่เรียกว่า  อภิวาท  คือ  การหมอบลงกับพื้นพร้อมกับกระพุ่มมือหรือประนมมือ  อันเป็นกิริยาการแสดงความเคารพอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างสูงสุด  การกราบพระรัตนตรัยใช้วิธีการกราบที่พร้อมด้วยองค์  ๕  หรือ  เบญจางคประดิษฐ์  อันประกอบด้วย  เข่า  ๒  มือ  ๒  หน้าผาก  ๑  จรดพื้น  สำหรับผู้ชายนิยมนั่งคุกเข่า   ผู้หญิงนั่งปลายเท้าจรดพื้น  นั่งทับส้นเท้า
๓)  การฟังพระธรรมเทศนา
 การฟังพระธรรมเทศนาในวาระต่างๆ  ผู้ฟังควรตั้งใจน้อมจิตไปตามกระแสธรรมที่กำลังฟังเพื่อจะได้ทราบในหลักธรรมที่พระสงฆ์กำลังเทศน์  และควรประนมมือขึ้น  เพื่อแสดงความเคารพต่อพระธรรมและพระสงฆ์  ถ้าจำเป็นต้องลุกขึ้นในขณะฟังธรรมควรยกมือไหว้ก่อนลุกขึ้นแล้วค่อยเดินออกไป
๔)  การฟังเจริญพระพุทธมนต์
 การเจริญพระพุทธมนต์  คือ  การสวดพระสูตร หรือพระปริตร อันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า  แนวความคิดเรื่องการสวดพระพุทธมนต์  นอกจากจะเป็นพุทธานุสติแล้ว  ยังเชื่ออีกว่าสามารถป้องกันภยันตรายต่างๆ  ที่จะเกิดขึ้นด้วย ด้วยเหตุนี้  การเจริญพระพุทธมนต์จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การเจริญพระปริตร หรือสวดพระปริตร
 แล้วฟังพระสงฆ์สวดเจริญพระพุทธมนต์ในงานพิธีกรรมต่างๆ  ควรแสดงความเคารพโดยการประนมมือและตั้งใจฟังอย่างสงบ  ไม่พูดคุยหรือแสดงกิริยาอาการไม่เรียบร้อย
๕)  การฟังสวดพระอภิธรรม การไปร่วมงานศพควรแต่งตัวให้เกียรติแก่เจ้าภาพ  ด้วยการใส่ชุดขาวดำ  ไม่ควรแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาด  เมื่อถึงเวลาพระสงฆ์สวดพระอภิธรรม  ควรประนมมือตั้งใจฟัง  ระลึกตามด้วยมรณานุสสติ  ไม่ควรพูดคุย  หยอกล้อ  หรือส่งเสียงดังในระหว่างที่พระสงฆ์สวดพระอภิธรรมอยู่


บรรพชาอุปสมบท

      



        การบวชนับเป็นธรรมเนียมประเพณีของชาวไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง เพราะผู้มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา มีจุดมุ่งหมายที่จะให้บุตรของตนได้เป็นศาสนทายาทสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไป และอีกประการหนึ่งเป็นจุดประสงค์ของผู้เป็นบิดามารดาที่ต้องการให้บุตรของตนได้ศึกษาเรียนรู้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เพื่อจะได้นำเอาหลักคำสอนมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันในการที่จะอยู่ครองเรือนเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ในภายหน้า
การบวชจะมี 2 ลักษณะ ได้แก่ การบวชเป็นสามเณร เรียกว่า "บรรพชา" และการบวชเป็นพระภิกษุ เรียกว่า "อุปสมบท"
          การบรรพชา หมายถึง การบวชเป็นสามเณร ซึ่งเป็นการเว้นจากพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เคยกระทำในชีวิตฆราวาส หันมาใช้ชีวิตแบบสันโดษ สงบ ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสอันเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิต การบรรพชา เป็นกิจเบื้องต้นของการอุปสมบท
คุณสมบัติของผู้บรรพชาอุปสมบท
 1. ต้องรู้เดียงสา คือมีอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป ส่วนผู้อุปสมบทต้องอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป
 2. ไม่เป็นโรคติดต่อ หรือโรคร้ายแรงเช่น โรคเรื้อน โรคฝีดาษ โรคกลาก โรคมงคร่อ หอบหืด ลมบ้าหมูและโรคที่สังคมรังเกียจอื่น ๆ
 3. ไม่เป็นผู้มีอวัยวะบกพร่อง หรือพิการ เช่น มือด้วน แขนด้วน ขาเป๋ ตาบอด หูหนวก เป็นใบ้ เป็นง่อย
 4. ไม่เป็นคนมีอวัยวะไม่สมประกอบ เช่น เตี้ยเกินไป สูงเกินไป คนคอพอก
 5. ไม่เป็นคนทุรพล เช่น แก่เกินไป ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
 6. ไม่เป็นคนมีพันธะ คือ คนที่บิดามารดาไม่อนุญาต คนมีหนี้สินล้นพ้นตัว ข้าราชการที่ไม่ได้รับอนุญาต
 7. ไม่เป็นคนเคยถูกลงอาญาหลวง เช่น คนถูกสักหมายโทษ คนถูกเฆี่ยนหลังลาย
 8. ไม่เป็นคนประทุษร้ายความสงบ เช่น เป็นโจรผู้ร้ายต้องอาญาแผ่นดิน
การอุปสมบท หรือการบวชเป็นพระภิกษุที่ใช้มาตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบันมี 3 วิธีคือ
 1. เอหิภิกขุอุปสัมปทา หมายถึง การบวชด้วยพระวาจาของพระพุทธเจ้าว่า “จงเป็นภิกษุมาเกิด” เป็นวิธีการอุปสมบทที่พระพุทธเจ้าทรงประทานให้โดยตรงการอุปสมบทแบบนี้มีเฉพาะในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่
 2. ติสรณคมนูปสัมปทา หมายถึง การบวชด้วยการถึงซึ่งที่พึ่งที่ระลึก 3 ประการ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นวิธีอุปสมบทที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสาวกบวชให้แก่ผู้ต้องการบวช โดยให้ผู้นั้นปลงผมและหนวดเครา ห่มผ้ากาสาวพัสตร์แล้วกราบพระภิกษุผู้ที่จะบวชให้พระภิกษุนั้นกล่าวนำถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกให้ผู้ต้องการบวชกล่าวตาม เท่ากับเป็นคำปฏิญาณตนเข้านับถือพระพุทธศาสนา เมื่อกล่าวคำถึงพระรัตนตรัยจบแล้วเป็นอันสำเร็จเป็นภิกษุ การอุปสมบทแบบนี้ใช้ควบคู่มากับเอหิภิกขุอุปสัมปทา
 3. ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา หมายถึง การบวชด้วยคำประกาศย้ำ 3 ครั้ง รวมทั้งคำประกาศนำเป็นครั้งที่ 4 เป็นวิธีอุปสมบทที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สงฆ์บวชให้แก่กุลบุตร โดยให้ผู้นั้นบวชเป็นสามเณรชั้นหนึ่งก่อน แล้วให้ขออุปสมบท จากนั้นพระกรรมวาจาจารย์สวนประกาศน้ำครั้งที่ 1 ว่าสงฆ์จะรับผู้นั้นเป็นภิกษุหรือไม่ เมื่อสงฆ์ยังนิ่งอยู่ก็สวดประกาศย้ำอีก 3 ครั้ง ถ้าไม่มีใครคัดค้านก็เป็นอันสำเร็จเป็นพระภิกษุ วิธีอุปสมบทแบบนี้ใช้มาตั้งแต่พุทธกาล ตอนกลางมาจนถึงปัจจุบัน และเมื่อทรงอนุญาตญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทาแล้ว ก็ทรงเลิกเอหิภิกขุอุปสัมปทา และติสรณคมนูปสัมปทาเสีย
ประโยชน์ของการบรรพชาและอุปสมบท
 1. เป็นการทำหน้าที่ของพุทธศาสนิกชน หมายความว่า พุทธศาสนิกชนจะช่วยรักษาพระพุทธศาสนาโดยรักษาพระธรรมวินัยให้เจริญมั่นคง เพราะว่าพระพุทธศาสนาก็คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ายังดำรงอยู่ ก็จะเป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลาย ช่วยให้เขามีชีวิตที่ดีงาม และสังคมที่ร่มเย็นเป็นสุข วิธีที่ดีที่สุดในการรักษาพระพุทธศาสนา ก็คือ การบวชเข้าไปเรียนรู้พระธรรมวินัย และรักษาถ่ายทอดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าต่อกันไป เรียกว่า สืบต่ออายุพระพุทธศาสนา
 2. เป็นการทำหน้าที่ของคนไทย หมายความว่า พระพุทธศาสนาเข้ามาอยู่ในสังคมไทย และได้กลายเป็นมรดกของชนชาติไทย คนไทยได้เห็นว่าพระพุทธศาสนาเป็นทรัพย์สมบัติที่มีค่าสูงสุดของประเทศชาติและสังคมของเราเพราะว่าเมื่อพระพุทธศาสนาเข้ามาแล้ว ก็ให้หลักธรรมคำสอน ทำให้คนประพฤติดีงามเป็นหลักให้แก่สังคม ทำให้สังคมอยู่กันได้ด้วยสันติสุข มีการเบียดเบียนกันน้อยลง ถ้ามีคนดีมากกว่าคนชั่วสังคมนี้ก็อยู่ได้ พระพุทธศาสนาได้ช่วยให้คนมากมายกลายเป็นคนดีขึ้นมา นอกจากนั้นพระพุทธศาสนาเป็นรากฐานของวัฒนธรรม ตั้งแต่ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี การศึกษา ดนตรีและศิลปะต่าง ๆ ก็มาจากวัดวาอาราม เป็นต้น
 3. เป็นการสนองพระคุณบิดามารดา ดังที่ถือกันเป็นประเพณีว่า ถ้าใครได้บวชลูกแล้ว ก็ได้บุญกุศลมาก ช่วยให้พ่อแม่ได้เกาะชายผ้าเหลืองไปสวรรค์ ตลอดจนได้เป็นญาติของพระศาสนา แต่ถ้ามองความหมายให้ลึกซึ้งลงไปก็เป็นเรื่องความเป็นจริงของชีวิตจิตใจ กล่าวคือ การบวชเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้จิตใจของพ่อแม่มีความสุข มีความปลาบปลื้มใจ ด้วยความหวังว่าเมื่อลูกได้เข้าไปอยู่ในวัด ได้ศึกษาอบรมในพระธรรมวินัยแล้ว ต่อไปก็จะเป็นคนดี จะรับผิดชอบชีวิตของตนเองได้ จะรับผิดชอบต่อครอบครัวและสังคมได้ แล้วเกิดความมั่นใจ พ่อแม่ก็จะมีความสุขเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อลูกบวช ก็เท่ากับจูงพ่อแม่เข้ามาสู่พระศาสนาด้วย มีโอกาสได้ฟังธรรม ได้เรียนรู้ธรรมะ ทำให้ได้ใกล้ชิดพระศาสนา เรียกว่าเป็นญาติของพระศาสนาอย่างแท้จริง
 4. เป็นการฝึกอบรมพัฒนาตนเอง คือการพัฒนาชีวิตทั้งในด้านความประพฤติ คือพฤติกรรมทางกาย วาจา และด้านจิตใจที่มีความดีงาม เข้มแข็ง มั่นคง เป็นสุข และในด้านปัญญาคือความรู้ความเข้าใจสิ่งทั้งหลายตรงตามความเป็นจริง

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

งานที่ 9 เรื่อง สมเด็จพรนารายณ์มหาราช

 

งานที่ 9 เรื่อง สมเด็จพรนารายณ์มหาราช

  สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
                                                         
 
 
พระราชประวัติ
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเป็นพระโอรสของพระเจ้าปราสาททอง
และ พระนางเจ้าสิริกัลยานี อัคร-ราชเทวีพระราชมารดาเป็น พระราชธิดา
ในสมเด็จพระ-เจ้าทรงธรรม เสด็จพระราช-สมภพ เมื่อ วันจันทร์
เดือนยี่ ปีวอก พ.ศ. 2175
 
 
ครองราชย์
การครองราชย์ราชวงศ์ปราสาททองทรงราชย์ พ.ศ.2199- พ.ศ. 2231 
 ระยะเวลาครองราชย์32 ปี พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 27
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนปลายรัชกาลก่อนหน้าสมเด็จพระศรีสุธรรมราชา
รัชกาลถัดมาสมเด็จพระเพทราชา สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เสด็จสวรรคต พ.ศ. 2231
 
 
พระราชกรณียกิจ
 
ด้านการทหาร
 
ในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ทรงปราบปรามเมืองน้อยใหญ่
ให้เป็นมาสวามิภักดิ์ ทั้งหัวเมืองทางเหนือ เช่น เชียงใหม่ ลำพูน
ส่วนศึกกับพม่าแม้จะมีอยู่ในเวลานี้ แต่ก็ทรงจัดทัพตีพ่ายกลับไปอยู่เนืองๆ
กิจการของกองทัพนับว่ารุ่งเรืองและยิ่งใหญ่สมเด็จพระนารายณ์
เองก็ทรงชำนาญในการศึก คล้องช้าง และทรงซื้ออาวุธจากต่างชาติ
สำหรับกิจการของกองทัพด้วย
 
การต่างประเทศ
 
มีการติดต่อทั้งด้านการค้าและการทูตกับประเทศต่างๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น
อิหร่าน อังกฤษ และฮอลันดา มีชาวต่างชาติเข้ามาในพระราชอาณาจักร
เป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันยังโปรดฯ ให้แต่งคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรี
กับราชสำนักฝรั่งเศส ในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ถึง 4 ครั้งด้วยกัน
ผู้ที่เขียนเกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยาและสยามมากที่สุด
ในสมัยนี้ก็คือ มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์
 
วิทยาการสมัยใหม่
 
พระองค์ยังทรงรับเอาวิทยาการสมัยใหม่มาใช้ เช่น กล้องดูดาว
 และยุทโธปกรณ์บางประการ รวมทั้งยังมีการรับเทคโนโลยีการสร้างน้ำพุ
จากชาวยุโรป และวางระบบท่อประปาภายในพระราชวังอีกด้วย
 
ด้านวรรณกรรม
 
สมเด็จพระนารายณ์นับว่าเป็นทั้งนักรบและกวี
ทรงพระ-ราชนิพนธ์วรรณคดีไว้หลายเรื่อง เช่น
*โคลงพุทธไสยาสน์ป่าโมก
*โคลงพาลีสอนน้อง
*โคลงทศรถสอนพระราม
*ราชสวัสดิ์
*ราชาณุวรรต
*ประดิษฐ์พระร่วง
*สมุทรโฆษคำฉันท์ (ตอนกลาง)
*คำฉันท์กล่อมช้าง (ของเก่า) เป็นต้น
พระราชกรณียกิจด้านดาราศาสตร์
ในระหว่างปีพุทธศักราช 2228-2230รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
คณะ-บาทหลวงเจชูอิตชาวฝรั่งเศส ได้มาเผยแพร่ดาราศาสตร์
ในประเทศไทย มีสิ่งก่อสร้าง เช่น หอดูดาววัดสันเปาโล
เป็นหอดูดาวแห่งแรกในประเทศไทย
       นอกจากนี้ในวันที่ 30 เมษายน พุทธศักราช 2231
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง
ที่พาดผ่านแม่น้ำกฤษณะในประเทศอินเดีย พม่า จีน ไซบีเรีย
ไปสิ้นสุดในทวีปอเมริกา สำหรับประเทศไทยเห็นเป็นสุริยุปราคาบางส่วน
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงกล้องทอดพระเนตร
จันทรุปราคาเต็มดวงใน คืนวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2228
ร่วมกับคณะบาทหลวงชาวฝรั่งเศส ณ พระตำหนักทะเลชุบศร เมืองลพบุรี
 
 
 
                                     
 

งานที่ 8 เรื่อง จิตตคหบดี

งานที่ 8 เรื่อง จิตตคหบดี

จิตตคหบดี

จิตตคหบดี
จิตตคหบดีเป็นชาวเมืองมัจฉิกาสัณฑะแคว้นมคธ วันที่ท่านเกิดมีปรากฎการณ์ประหลาด คือมีดอกไม้หลากสีตกลงทั้งเมือง ซึ่งเป็นนิมิตหมายแห่งความวิจิตรสวยงาม ท่านจึงได้นามว่า จิตตกุมาร แปรว่า กุมารผู้น่าพิศวงหรือกุมารผู้ก่อให้เกิดความวิจิตรสวยงาม
บิดาของท่านเป็นเศรษฐี ท่านจึงได้เป็น เศรษฐีสืบต่อมาจากบิดา ในวงการพระพุทธศาสนาเรียกท่านว่า จิตตคหบดี ก่อนที่จะมานับถือพระพุทธศาสนาท่านมีโอกาสพบพระมหานามะ (หนึ่งในปัญจวัคคีย์) เห็นท่านสงบสำรวมน่าเลื่อมใสมาก จึงมีความศรัทธานิมนต์ท่านไปฉันภัตตาหารที่คฤหาสน์ของตน และได้สร้างที่พำนักแก่ท่านในสวนชื่อ อัมพาฏการาม นิมนต์ให้ท่านอยู่เป็นประจำ พระมหานามะได้แสดงธรรมให้จิตตคหบดีฟังอยู่เสมอ
วันหนึ่งได้แสดงเรื่อง อายตนะ ๖ (สื่อสำหรับติดต่อโลกภายนอก ๖ ประการ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) หลังจบธรรมเทศนา จิตตคหบดีได้บรรลุอนาคามิผล
จิตตคหบดีเอาใจ ใส่พิจารณาธรรมอยู่เนือง ๆ จนแตกฉาน มีความสามารถในการอธิบายธรรมได้ดี ความสามารถของท่านในด้านนี้เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา ท่านเคยโต้วาทะกับบุคคลสำคัญของศาสนาอื่น ๆ มาแล้วหลายท่าน เช่น นิครนถ์นาฏบุตร (ศาสดาของศาสนาเชน) และอเจลกนามกัสสปะ (นักบวชชีเปลือย)
ท่านเป็นผู้มีใจบุญได้ถวายทานอย่างประณีตมโหฬารติดต่อกันครึ่งเดือนก็เคยมี เคยพาบริวารสองพันคนบรรทุกน้ำตาล น้ำผึ้งน้ำอ้อย เป็นต้น จำนวนมากถึง ๕๐๐ เล่มเกียน ไปถวายพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์
ครั้งหนึ่งท่านป่วยหนัก เทวดามาปรากฏให้เห็นกล่าวกับท่านว่าคนมีบุญอย่างท่านนี้ แม้ปรารถนาราชสมบัติหลังตายแล้วก็ย่อมได้ ท่านตอบเทวดาว่าถึงราชสมบัติก็ไม่จีรัง เราไม่ต้องการ บรรดาลูกหลานที่นั่งเฝ้าไข้อยู่ นึกว่าท่านเพ้อจึงกล่าวเตือนสติ ท่านบอกบุตรหลานว่ามิได้เพ้อ เทวดามาบอกให้ปรารถนาราชสมบัติ ต่อท่านปฏิเสธยังมีสิ่งอื่นที่ดีกว่า น่าปรารถนากว่า เมื่อถูกถามว่าคืออะไร ท่านกล่าวว่าคือ ศรัทธาอันแน่วแน่ มั่นคงในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
อัมพาฏการามนั้นเป็นวัดที่ท่านสร้างถวายพระมหานามะนิมนต์ให้ท่านอยู่ประจำ แต่พระเถระพักอยู่ชั่วเวลาหนึ่งก็จาริกไปยังที่อื่น พระเถระอื่น ๆ ก็แวะมาพักอยู่เสมอๆ ต่อมามีพระรูปหนึ่งนามว่า สุธรรมเถะ ยังเป็นปุถุุชนมาพำนักอยู่เป็นประจำเป็นเวลานานจนกระทั่งนึกว่าตัวท่านเป็นสมภารวัด พระสุธรรมเป็นปุถุชน จิตตคหบดีเป็นอริยบุคคลระดับอนาคามี ถือเพศฆราวาสก็ยังแสดงความเคารพกราบไหว้พระภิกษุปุถุชน เพราะถือเพศบรรพชิตเป็น "ธงชัยแห่งพระอรหันต์" อุปถัมภ์บำรุงท่านเป็นอย่างดี
วันหนึ่งพระอัคร สาวกทั้งสอง คือ พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะเดินทางผ่านมา ท่านจิตตคหบดีนิมนต์ให้พระอัครสาวกทั้งสองพำนักอยู่ที่อัมพาฏการาม พร้อมนิมนต์เพื่อฉันอาหารที่บ้านท่านในวันรุ่งขึ้น แล้วก็ไปนิมนต์พระสุธรรมไปฉันด้วย
พระสุธรรมถือตัวว่าเป็นเจ้าอาวาสเห็นจิตตคหบดีให้ความสำคัญแก่พระอัครสาวกมากกว่าตนถึงกับนิมนต์ไปฉันภายหลัง จึงไม่ยอมรับนิมนต์ แม้ท่านจะอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่ยอมรับ
ตกเย็น ท่านจิตตคหบดีกำลังสั่งให้เตรียมภัตตาหาร พระสุธรรมก็เดินไปในคฤหาสถ์อย่างคนคุ้นเคย ดูนั้นดูนี่แล้วก็เปรยว่า      "อาหารที่ท่านเตรียมถวายพระพรุ่งนี้ดีทุกอย่าง แต่ขาดอยู่อย่างเดียวที่ไม่ได้เตรียมถวาย"
     จิตตคหบดี "ขาดอะไร พระคุณเจ้า"
     พระสุธรรม "ขนมแดกงา" คำว่าขนมแดกงาเป็นคำที่มีนัยสำคัญเกี่ยวกับตระกูลของท่านคหบดี ท่านคหบดีก็ฉุนว่าเอาแรง ๆ เพื่อให้สำนึก พระสุธรรมไม่สำนึกแต่โกรธตอบ หนีจากวัดไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องจึงตำหนิแรง ๆ และมีพุทธบัญชาให้กลับไปขอโทษจิตตตคหบดี ท่านกลับไปขอโทษแต่คหบดีไม่ยอมยกโทษให้จึงกลับมาเฝ้าพระพุทธองค์อีก

พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมให้ฟัง พระสุธรรมบรรลุพระอรหันต์พระองค์จึงให้ภิกษุรูปหนึ่งเป็นอนุทูตพาพระสุธรรมไปขอขมาจิตตคหบดีใหม่ คราวนี้ท่านคหบดียกโทษให้
ท่านจิตตคหบดีมีปฏิภาณเฉียบแหลมและมีความสามารถในการแสดงธรรมมาก จึงได้รับการยกย่องในเอตทัคคะว่าเป็นเลิศกว่าผู้อื่นในทางเป็นธรรมกถึก
เมื่อศึกษาประวัติของจิตตคหบดีแล้วให้ความคิดได้ว่า พระพุทธศาสนาเป็นของชาวบ้านทุกคน คฤหัสถ์ก็ควรศึกษาพระพุทธพจน์ให้เข้าใจแจ่มแจ้ง จนสามารถสื่อสารแสดงให้คนอื่นเข้าใจได้ สามารถปกป้องพระพุทธศาสนาได้

งานที่ 7 เรื่อง พระธัมมทินนาเถรี

งานที่ 7 เรื่อง พระธัมมทินนาเถรี

ประวัติพระธรรมทินนาเถรี
เอตทัคคะผู้เป็นธรรมกถึก
พระธรรมทินนาเถรีผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของภิกษุณีทั้งหลายผู้เป็นธรรมกถึก ก็โดยเหตุ ๒ ประการ คือโดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ เพราะท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นอย่างชัดเจนในคุณข้อนี้ของท่าน และไม่เพียงเนื่องจากเหตุข้อนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการแต่งตั้งโดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปดังนี้

ตั้งความปรารถนาไว้ในอดีต

ได้ยินว่า พระธรรมทินนาเถรีนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ถือปฏิสนธิในสกุลหนึ่งในเมืองหงสวดี เมื่อโตขึ้นเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างทำการงานของคน อื่น เป็นผู้มีปัญญา สำรวมอยู่ในศีล ต่อมาวันหนึ่ง ในเวลาเช้า ขณะที่นางเอาหม้อน้ำกำลังจะไปตักน้ำ นางก็ได้พบพระสุชาตมหาเถระผู้เป็นพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้าออกจากอารามเพื่อ ไปบิณฑบาต เมื่อได้เห็นท่านแล้วก็เกิดความเลื่อมใส จึงได้ถวายขนมด้วยมือของตน ท่านรับแล้วนั่งฉัน ณ ที่นั้นแหละ นางนิมนต์ท่านไปสู่เรือนได้ถวายโภชนะแก่ท่าน ต่อมา นายของนางทราบเข้าแล้วชื่นชมในความเป็นผู้มีกุศลจิต เกิดความยินดีจึงได้แต่งนางให้เป็นลูกสะใภ้ของท่าน
วันหนึ่งนางไปกับแม่สามีและได้เข้าเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า ครั้งนั้น พระ บรมศาสดาทรงประกาศตั้งภิกษุณีองค์หนึ่ง ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้เป็นธรรมกถึก ท่านได้ฟังพระพุทธพจน์นั้นแล้ว มีความยินดี ปรารถนาที่จะได้ตำแหน่งนั้นบ้างในอนาคต จึงได้นิมนต์พระสุคตเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ ถวายมหาทานแล้วกระทำอธิษฐานเพื่อปรารถนาตำแหน่งนั้น
ในทันใดนั้น พระสุคตเจ้า ได้ตรัสพยากรณ์นางว่า ด้วยผลบุญที่นางได้ยินดีบำรุงพระศาสดา อังคาสพระศาสดากับสาวกสงฆ์ ขวนขวายในการฟังสัทธรรม มีใจเจริญด้วยคุณ นางจะได้ตำแหน่งนั้นตามที่ได้ตั้งความความปรารถนาไว้ โดยในกัปที่หนึ่งแสนแต่กัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตม ซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก นางจักได้ เป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นสาวิกาของพระศาสดา มีชื่อว่า ธรรมทินนา
เมื่อนางได้ฟังพระพุทธพยากรณ์นั้นแล้วก็มีความยินดี มีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุง พระมหามุนี ด้วยปัจจัยทั้งหลายจนตลอดชีวิต ด้วยกุศลกรรมที่ทำไว้แล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้เมื่อนางสิ้นชีวิตลงแล้วได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
 ครั้นสิ้นชีวิตลง ก็เวียนว่ายอยู่ใน ภพภูมิเทวดาและมนุษย์ถึงแสนกัป

ในสมัยพระปุสสพุทธเจ้า

ในกัปที่ ๙๒ แต่ภัททกัปนี้ ได้มีนครหนึ่ง ชื่อว่า กาสี พระราชาทรงประนามว่า ชัยเสน ทรงครองราชสมบัติในพระนครนั้น พระองค์ได้มีพระราชเทวีทรงพระนามว่า สิริมา พระโพธิสัตว์นามว่า ผุสสะ บังเกิดในพระครรภ์ของพระนางแล้วตรัสรู้ พระสัมมาสัมโพธิญาณโดยลำดับ พระเจ้าชัยเสนนั้นทรงเห็นว่าพระราชโอรสของพระองค์ออกมหาภิเนกษกรมเป็นพระพุทธเจ้า ดังนั้นท่านจึงถือเสมือนว่าพระพุทธเจ้าเป็นของส่วนพระองค์ท่านแม้พระธรรม และ  พระสงฆ์ก็เช่นกัน เมื่อเป็นดังนี้แล้วจึงทรงอุปัฏฐากด้วยพระองค์เองทุก ๆ ในทุกเมื่อ ไม่ทรงให้โอกาสแก่ชนเหล่าอื่นได้ทำบ้าง
พระราชานั้น ยังมีโอรสผู้เป็นพระอนุชาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น แต่ต่างพระมารดากันอีก ๓ พระองค์ ทั้ง ๓ พระองค์นั้นต่างก็พากันคิดว่า ธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมอุบัติเพื่อประโยชน์แก่ชาวโลกทั้งมวล มิใช่เพื่อประโยชน์เฉพาะบุคคลผู้เดียว และพระบิดาของพวกเราก็ไม่ยอมให้โอกาสแก่ชนเหล่าอื่นเลย ทำอย่างไรหนอ พวกเราจะพึงได้อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์
พี่น้องทั้ง ๓ พระองค์จึงได้ออกอุบายสร้างสถานการณ์ชายแดนว่าเกิดการปั่นป่วน เพื่อให้พระราชาส่งพวกตนออกไปปราบ และจะได้มีความดีความชอบ ครั้นเมื่อทำตามอุบายนั้นแล้ว พระราชาทรงพอพระทัยได้ประทานพรว่าถ้าพระโอรสทั้งสามพระองค์ปรารถนาสิ่งใดก็จะพระราชทาน พระโอรสทั้งสามจึงขอที่จะอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า พระราชาทรงปฏิเสธ แต่พระโอรสทั้งสามทรงยืนยันความประสงค์ พระราชาจึงทรงยินยอม แต่ให้เวลาเพียง ๓ เดือน
พี่น้อง ๓ พระองค์นั้น เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ปรารถนาจะอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอด ๓ เดือน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงทรงรับการอยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือนนี้แก่ข้าพระองค์เถิด
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรับด้วยดุษฎีภาพ พี่น้อง ๓ พระองค์นั้น จึงส่งลิขิตไปถึงนายส่วยผู้จัดเก็บผลประโยชน์ในชนบทของตนว่า พระองค์จะทำการอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอด ๓ เดือนนี้ ขอท่านจงจัดแจงสัมภาระสำหรับอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกอย่างเริ่มตั้งแต่วิหารไป
ทรงแต่งตั้ง บุตรคฤหบดีคนหนึ่ง ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลพระราชทรัพย์ของพี่น้อง ๓ พระองค์นั้น ให้ดูแลเรื่องการเงิน และมอบหมายให้ผู้ใกล้ชิดอีกคนหนึ่งเป็นผู้ดูแลเรื่องการถวายทาน
นายส่วยนั้นได้จัดการทุกอย่างตามพระประสงค์ของพระโอรสทั้งสามแล้วจึงทูลตอบกลับไป เมื่อพี่น้องทั้ง ๓ พระองค์นั้นทราบว่าการจัดแจงต่าง ๆ ได้เรียบร้อยแล้วจึงพร้อมด้วยบริวารอีก ๑,๐๐๐ คน พากันอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์โดยเคารพ นำไปยังชนบท มอบถวายวิหารให้อยู่จำพรรษา
ในครั้งนั้น บุตรคฤหบดี ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลพระราชทรัพย์ของพี่น้อง ๓ พระองค์นั้น พร้อมด้วยภริยา เป็นผู้มีศรัทธา มีความเลื่อมใส ก็ได้ถวายทานวัตรแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานโดยเคารพ นายส่วยผู้จัดเก็บผลประโยชน์ในชนบทได้พาเขาไปพร้อมกับชาวชนบทประมาณ ๑๑,๐๐๐ คน ได้ให้ทานเป็นไปโดยเคารพทีเดียว บรรดาท่านเหล่านั้น ราชบุตรนายส่วยในชนบท และบุตรคฤหบดีผู้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลพระราชทรัพย์ และเจ้าหน้าที่ผู้จัดแจงเรื่องถวายทาน เมื่อสิ้นชีวิตลงแล้วก็ไปบังเกิดในสวรรค์ตามลำดับ
ในสมัยพระพุทธเจ้าของพวกเรานี้ พระโอรส ๓ พี่น้องก็มาเกิดเป็น ชฎิล ๓ พี่น้องคือ พระอุรุเวลกัสสปเถระ พระนทีกัสสปเถระ และ พระคยากัสสปเถระ  นายส่วยผู้จัดเก็บผลประโยชน์ในชนบท ก็มาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร  เจ้าหน้าที่ผู้จัดแจงเรื่องถวายทาน เกิดมาเป็น พระรัฐปาลเถระ บุตรคฤหบดี ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลพระราชทรัพย์ เกิดมาเป็น วิสาขเศรษฐี และ ภรรยาของบุตรคฤหบดี เกิดมาเป็น นางธัมมทินนาเถรี

ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า

ในภัทรกัปนี้ ในสมัยแห่งพระ พุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป ท่านได้มาเกิดเป็นพี่น้องกับพระสาวิกาอีก ๖ ท่าน คือ พระเขมาเถรี พระอุบลวรรณาเถรี พระปฏาจาราเถรี พระกุณ ฑลเกสีเถรี พระกิสาโคตมีเถรี และนางวิสาขามหาอุบาสิกา โดยเป็นพระธิดาแห่งพระเจ้า กาสีพระนามว่ากิกีผู้ครองพระนครพาราณสีอันอุดม พระองค์ทรงเป็นอุปัฏฐากของพระกัสสปพุทธเจ้า โดยตัวท่านเองมาบังเกิดเป็นเป็นพระธิดาคนที่หกของท้าวเธอ มีนามปรากฏว่าสุธรรมา มีพระพี่นางคือ พระนางสมณี พระนางสมณคุตตา พระนางภิกขุนี พระนางภิกขุทาสิกา และพระนางธรรมา และมีพระขนิษฐาคือ นางสังฆทาสี
พระนางทั้ง ๗ นั้นเมื่อได้ฟังธรรมจากพระบรมศาสดาแล้วก็เลื่อมใส ใคร่ที่จะออกบรรพชา แต่พระเจ้ากิกีผู้เป็นพระชนกนาถมิได้ทรงอนุญาต พระนางทั้งหมดจึงได้ประพฤติพรหมจรรย์ตั้งแต่เป็นกุมารีอยู่สองหมื่นปี ได้สร้างบริเวณที่อยู่ถวายพระภิกษุสงฆ์ ด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำไว้แล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนง ไว้ เมื่อละร่างกายมนุษย์แล้วได้ เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์พุทธันดรหนึ่ง

ในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า

ในพุทธุปบาทกาลนี้ พระราชธิดาทั้ง ๗ นั้นก็ได้มาเกิดเป็น พุทธสาวิกาคือ คือ พระนางสมณี ได้มาเกิดเป็นพระเขมาเถรี พระนางสมณคุตตา ได้มาเกิดเป็น พระอุบลวรรณาเถรี นางภิกขุนี ได้มาเกิดเป็น พระปฏาจาราเถรีนางภิกขุทาสิกา ได้มาเกิดเป็น พระกุณ ฑลเกสีเถรี นางธรรมา ได้มาเกิดเป็น พระกิสาโคตมีเถรี และนางสังฆทาสี ได้มาเกิดเป็นนางวิสาขามหาอุบาสิกา
ส่วนตัวท่านเองมาถือปฏิสนธิในสกุลเศรษฐีที่มั่งคั่งเจริญ มีทรัพย์มากในพระนครราชคฤห์ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นก็ได้แต่งงานมีครอบครัวกับวิสาขเศรษฐี ในกรุงราชคฤห์นั้นเอง
ต่อมาเมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเทศนาโปรดเหล่าชฏิลทั้งสามพร้อมทั้งบริวาร ที่อุรุเวลาเสนานิคมแล้ว ก็ทรงระลึกถึงปฏิญญาที่ได้ทรงให้ไว้กับพระเจ้าพิมพิสารเมื่อก่อนที่จะทรงตรัสรู้ว่า ถ้าตรัสรู้แล้วก็จะทรงมาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร จึงได้เสด็จดำเนินไปยังกรุงราชคฤห์กับหมู่ภิกษุขีณาสพชฏิลเก่า แล้วทรงแสดงธรรมถวายพระเจ้าพิมพิสารมหาราชซึ่งเสด็จดำเนินมาพร้อมกับบริษัทแสนสองหมื่นคนเพื่อเฝ้าพระพุทธเจ้า
ในชนแสนสองหมื่นคนที่มาพร้อมกับพระราชาในครั้งนั้น หนึ่งหมื่นคนประกาศตนเป็นอุบาสก อีกหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นคนพร้อมกับพระเจ้าพิมพิสาร ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล วิสาขอุบาสกนี้เป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้นซึ่งเป็นผู้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลใน การเฝ้าครั้งแรกนั่นเอง
 ในอีกวันหนึ่ง วิสาขอุบาสกก็ได้ฟังธรรมอีก ในครั้งนี้อุบาสกสำเร็จสกทาคามิผล แต่นั้นมาในภายหลังวันหนึ่ง เมื่อได้ฟังธรรมอีก จึงได้ดำรงอยู่ในอนาคามิผล ในวันที่วิสาขอุบาสกสำเร็จเป็นเป็นพระอนาคามีแล้ว เดินทางกลับบ้าน ก็ไม่ได้กลับมาเหมือนอย่างวันอื่น ที่เมื่อกลับมาก็มองนั่นดูนี่ หัวเราะยิ้มแย้มพลางเดินเข้ามา หากแต่กลายเป็นคนสงบกายสงบใจเดินเข้าบ้านไป

นางธรรมทินนาออกบวช

นางธรรมทินนาแง้มหน้าต่างพลางมองไปที่ถนนเห็นเหตุการณ์ในการมาของเขาแล้วก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านอุบาสก เมื่อนางออกมายืนที่หัวบันไดทำการต้อนรับเขาพลางก็เหยียดมือยื่นออกไปให้อุบาสกจับ อุบาสกกลับหดมือของตนเสีย
นางคิดว่าจะไปถามในเวลารับประทานอาหาร แต่ก่อนมาอุบาสกรับประทานพร้อมกันกับนาง แต่วันนั้นกลับไม่ยอมมองนาง ทำราวกะว่าเป็นโยคาวจรภิกษุ รับประทานคนเดียวเท่านั้น นางคิดว่าจะไปถามเวลานอน ในวันนั้นอุบาสกไม่ยอมเข้าห้องนอนนั้น กลับสั่งให้จัดห้องอื่นให้ตั้งเตียงน้อยที่สมควรแล้วนอน.
อุบาสิกาคิดว่าตนคงกระทำความผิดอันใดไว้ อุบาสกจึงไม่ยอมพูดด้วย ไม่นอนร่วมห้องด้วย ก็เกิดความเสียใจอย่างแรง จึงเข้าไปหาท่านอุบาสกแล้วถามว่า ตัวนางเองมีความผิดอะไรหรือ ท่านอุบาสกจึงไม่ยอมถูกเนื้อต้องตัว ไม่ยอมพูดด้วย และ ไม่ยอมนอนร่วมห้องด้วย
วิสาขอุบาสกได้ยินนางถามดังนั้นก็คิดว่า "ชื่อว่าโลกุตตรธรรมนี้เป็นภาระหนักไม่พึงเปิดเผย แต่ถ้าเราไม่บอก ธรรมทินนานี้จะพึงหัวใจแตกตายในที่นี้เอง"
เพื่อที่จะอนุเคราะห์นาง ท่านเศรษฐีจึงบอกว่า "ธรรมทินนา ฉันได้ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วได้บรรลุโลกุตตรธรรม ผู้ได้บรรลุโลกุตตรธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่กระทำแบบโลกๆ อย่างที่เคยทำมาแต่ก่อน ถ้าเธอต้องการ ทรัพย์ทั้งหมดของฉัน ก็จงรับไป แล้วจงอยู่ดำรงตำแหน่งแม่ หรือตำแหน่งน้องสาวของฉันก็ได้ ฉันจะขอเลี้ยงชีพด้วยเพียงก้อนข้าวที่เธอให้ หรือเธอเอาทรัพย์เหล่านี้ไปแล้วกลับไปอยู่กับตระกูลของก็ได้ หรือถ้าเธอต้องการมีสามีใหม่ ฉันก็จะตั้งเธอไว้ในตำแหน่งน้องสาว หรือตำแหน่งลูกสาวแล้วยกเธอให้กับชายนั้นแล้วเลี้ยงดู"
นางคิดว่า "ผู้ชายปกติ จะไม่มีใครพูดอย่างนี้ เขาคงแทงทะลุโลกุตตรธรรมเป็นแน่ ก็ผู้ชายเท่านั้นหรือที่พึงแทงทะลุธรรมนั้นได้ หรือแม้เป็นผู้หญิงก็สามารถแทงทะลุได้" จึงพูดกับวิสาขะว่า "ธรรมนั้นผู้ชายเท่านั้นหรือหนอที่พึงได้ หรือแม้เป็นผู้หญิงก็สามารถบรรลุได้ด้วย"
ท่านอุบาสกตอบว่า "พูดอะไร ธรรมทินนา ผู้ที่เป็นนักปฏิบัตินั้น ย่อมเป็นทายาทของธรรมนั้น ผู้ที่มีอุปนิสัยก็ย่อมได้รับธรรมนั้น"
นางธรรมทินนา "เมื่อเป็นอย่างนั้น ขอให้ท่านยินยอมให้ดิฉันบวชเถิด"
วิสาขอุบาสก "ดีแล้วที่รัก ฉันเองก็อยากจะแนะนำในทางนี้เหมือนกัน แต่ยังไม่รู้ใจเธอจึงไม่พูด"
แล้ววิสาขอุบาสกจึงให้นางธรรมทินนาอาบน้ำหอม ให้ประดับประดาด้วยเครื่องสำอางทุกอย่าง ให้นั่งบนวอทอง แวดล้อมด้วยหมู่ญาติ บูชาด้วยดอกไม้หอมเป็นต้น พาไปสู่สำนักภิกษุณีแล้วเรียนว่า "ขอให้นางธรรมทินนาบวชเถิด แม่เจ้า"
พวกภิกษุณีคิดว่าท่านเศรษฐีจะลงโทษภรรยาที่กระทำความผิดโดยการให้ออกบวชจึงพูดว่า" คฤหบดี กับความผิดอย่างหนึ่งหรือสองอย่าง ท่านก็ควรจะอดทนได้"
วิสาขะจึงเรียนว่า "ไม่มีความผิดอะไรหรอก แม่เจ้า เธอบวชด้วยศรัทธา"
ลำดับนั้น ภิกษุณีผู้สามารถรูปหนึ่ง จึงบอกกัมมัฏฐานหมวดห้าแห่งหนัง ให้โกนผมแล้วให้บวช
วิสาขะพูดว่า "แม่เจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระธรรมไว้ดีแล้ว ท่านจงยินดีเถิด" ไหว้แล้วหลีกไป.

นางธรรมทินนาบรรลุพระอรหัต

ตั้งแต่วันที่นางบวชแล้ว ลาภสักการะก็เกิดขึ้น เพราะเหตุนั้นนางจึงยุ่งจนหาโอกาสทำสมณธรรมไม่ได้ ทีนั้น พวกพระเถรีที่เป็นอาจารย์และอุปัชฌาย์จึงพานางไปบ้านนอก แล้วก็ให้เรียนกัมมัฏฐานตามชอบใจในอารมณ์สามสิบแปดอย่างเริ่มทำสมณธรรม สำหรับนางลำบากไม่นานเพราะเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอานุภาพแห่งความปรารถนาที่กระทำไว้เมื่อครั้งพระศาสดาทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ทรงอุบัติในโลก ด้วยอำนาจแห่งความปรารถนานั้น นางจึงไม่เหนื่อยมาก สองสามวันเท่านั้นเองก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พระธัมมทินนาเถรีคิดว่าใจของเราหมดกิเลสแล้ว บัดนี้เราจักอยู่ทำอะไรในที่นี้ เราจักไปกรุงราชคฤห์ถวายบังคมพระศาสดา และพวกญาติของเราเป็นจำนวนมากจักกระทำบุญ พระเถรีจึงกลับมากรุงราชคฤห์กับภิกษุณีทั้งหลาย

วิสาขอุบาสกทดสอบพระเถรี

วิสาขะได้ฟังว่านางธรรมทินนากลับมาจึงคิดว่า นางบวชแล้วไปบ้านนอกยังไม่นานเลย ก็กลับมา นางคงจะยังยินดีอยู่ในโลกีย์วิสัยละมัง แล้วก็ได้ไปสำนักนางภิกษุณี ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง แล้วจึงคิดว่าจะ ถามถึงเรื่องที่ตนสงสัยก็เห็นจะไม่สมควร จึงถามปัญหาด้วยอำนาจปัญจขันธ์  เป็นต้น.
พระธรรมทินนาเถรีก็วิสัชนาปัญหาที่วิสาขอุบาสกถามแล้ว  เหมือนเอาพระขรรค์ตัดก้านบัวฉะนั้น.
อุบาสกรู้ว่า พระธรรมทินนาเถรี มีญาณกล้า จึงถามปัญหาที่ละเอียดลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อย พระเถรีก็เฉลยปัญหาเหล่านั้นโดยลำดับ จนในที่สุด อุบาสกถามโดยอาการทุกอย่างในอนาคามีมรรคตามลำดับ ในฐานะที่ตนบรรลุแล้ว ทั้งยังถามปัญหาในอรหัตมรรค ซึ่งเป็นการถามตามที่ได้เล่าเรียนมา เพราะตนยังไม่บรรลุถึงขั้นนั้น
พระธรรมทินนาเถรีก็รู้ว่า อุบาสกมีวิสัยเพียงอนาคามิผล เท่านั้น คิดว่า บัดนี้ อุบาสกถามเกินวิสัยของตนไป จึงทำให้อุบาสกนั้นกลับโดยกล่าวว่า ท่านวิสาขะ ท่านยังไม่อาจกำหนดที่สุดแห่งปัญหาทั้งหลายได้ ท่านวิสาขะ  ถ้าท่านยังจำนงหวังพรหมจรรย์ที่หยั่งลงสู่พระนิพพาน มีพระนิพพานเป็นเบื้องหน้า มีพระนิพพานเป็นที่สุด ท่านวิสาขะ ท่านจงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามความข้อนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์อย่างไร ก็พึงทรงจำไว้อย่างนั้น

ทรงแต่งตั้งเป็นเอตทัคคะผู้เป็นธรรมกถึก

วิสาขอุบาสกกราบทูลนัยแห่งคำถามและคำตอบทั้งหมดแด่พระศาสดา พระศาสดาทรงสรรเสริญพระเถรีนั้นด้วยพระพุทธพจน์ว่า วิสาขะ ภิกษุณีธัมมทินนาเป็นบัณฑิตเป็นต้น ทรงประกาศการพยากรณ์ปัญหาเทียบกับพระสัพพัญญุตญาณ ทรงทำจูฬเวทัลลสูตรนั้นแลให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง ทรงตั้งพระธัมมทินนาเถรีนั้นไว้ในตำแหน่งเลิศของภิกษุณีผู้เป็นธรรมกถึก

งานที่ 6 เรื่อง พระองคุลิมาลเถระ

 

งานที่ 6 เรื่อง พระองคุลิมาลเถระ

ประวัติพระองคุลีมาลเถระ
กำเนิดอหิงสกกุมาร
ที่เมืองสาวัตถีของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองคุลิมาลนี้ ได้ถือปฏิสนธิในครรภ์แห่งนางพราหมณ์ชื่อ มันตานี ภรรยาของ คัคคพราหมณ์ (ภัคควพราหมณ์) ซึ่งเป็นปุโรหิตแห่งเมืองสาวัตถี  ในเวลาที่องคุลิมาลคลอดออกจากครรภ์มารดานั้น บรรดาอาวุธทั้งหลายในนครทั้งสิ้นช่วงโชติขึ้น แม้กระทั่งฝักดาบ ที่อยู่ในห้องพระบรรทมก็ส่งแสงเรืองขึ้น พราหมณ์ปุโรหิตจึงลุกออกมาแหงนดูดาวนักษัตร ก็รู้ว่าบุตรเกิดโดยฤกษ์ดาวโจร ลูกของตนที่จะเกิดจากครรภ์ของภรรยานั้น จะเป็นโจรผู้ร้ายกาจเที่ยวเข่นฆ่ามนุษย์เสียมากมาย
วันรุ่งขึ้นปุโรหิตจึงเข้าไปในพระราชวัง เข้าเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศล เพื่อทูลถวายรายงานถึงเหตุอาเพศที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน และกราบทูลว่าเป็นเพราะลูกที่เกิดจากนางพราหมณีที่เรือนของตน พระราชาสอบถามว่าอาเพศดังกล่าวจักเกิดเหตุอะไร ปุโรหิตกราบทูลว่า เขาจักเป็นมหาโจร พระราชาถามต่อว่าจักเป็นโจรทำร้ายผู้คน หรือ เป็นโจรประทุษร้ายราชสมบัติ ปุโรหิตกราบทูลว่า เขาจะไม่มีภัยต่อราชสมบัติ จะเป็นโจรคนเดียว พระราชาตรัสว่า เป็นโจรคนเดียวจะทำอะไรได้ ถ้าเขาทำเหตุอันใดขึ้นในอนาคต เราก็จักจัดการเขาเสียด้วยกองทหารของเรา จงเลี้ยงเขาไว้เถิด
แม้ในวันที่ตั้งชื่อกุมารนั้น สิ่งของเหล่านี้คือ ฝักดาลอันเป็นมงคลที่วางไว้ ณ ที่นอน ลูกศรที่วางไว้ที่มุม มีดน้อยสำหรับตัดขั้วตาลซึ่งวางไว้ในปุยฝ้ายต่างส่งแสงลุกโพลงขึ้น แต่หาได้เป็นอันตรายหรือเบียดเบียนใครไม่ ปุโรหิตาจารย์นั้นเชื่อตามตำราว่า ลูกตนต้องเป็นคนโหดร้ายทารุณแน่ ก็เลยตั้งชื่อเด็กคนนี้เป็นการแก้เคล็ดเสียว่า อหิงสกกุมารแปลว่า เด็กผู้ไม่เบียดเบียนใคร
อหิงสกกุมารออกศึกษา
เมื่ออหิงสกกุมารมีอายุพอจะศึกษาศิลปวิทยาแล้วบิดามารดาจึงส่งไปเรียนกับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ที่เมืองตักกศิลา อหิงสกกุมารเป็นคนมีปัญญา ขยัน ตั้งใจเรียนดี มีความประพฤติเรียบร้อย คอยรับใช้อาจารย์ด้วยความเคารพ พูดจาไพเราะจึงเป็นที่พอใจของอาจารย์มาก แต่ศิษย์คนอื่น ๆ เห็นท่านเป็นคนโปรดของอาจารย์ก็ริษยา พากันออกอุบายเพื่อกำจัดอหิงสกมาณพ โดยแบ่งคนออกเป็นสามพวก พวกแรกก็เข้าไปบอกอาจารย์ว่า ได้ยินมาว่าอหิงสกมาณพจะประทุษร้ายท่านอาจารย์ ทีแรกอาจารย์ไม่เชื่อ แต่เมื่อพวกที่สอง และ พวกที่สามเข้าไปบอกเรื่องอย่างเดียวกัน หนักเข้าก็กลับใจเชื่อ แล้วอาจารย์จึงหาอุบายฆ่าอหิงสกมาณพ
อาจารย์คิดต่อไปอีกว่า ถ้าเราฆ่ามัน ใคร ๆ ก็จะคิดว่าอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ลงโทษมาณพผู้มาเรียนศิลปะยังสำนักของตนแล้วปลงชีวิตเสีย ดังนี้ ก็จักไม่มีใครมาเล่าเรียนศิลปะกับเราอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็จะเสื่อมลาภ ดังนั้นจึงได้ออกอุบายยืมมือคนอื่นฆ่า โดยให้มาณพนั้นฆ่าคนให้ได้พันคน ด้วยคาดว่าเมื่ออหิงสกกุมารปฏิบัติตามคำสั่งของตน เที่ยวได้ฆ่าคนไป ก็จะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งต่อสู้ และฆ่ามาณพนั้นจนได้ แล้วอาจารย์จึงบอกมาณพนั้นว่า ยังมีคำสำหรับศิลปะวิชาขั้นสุดท้ายอยู่ เจ้าจะต้องฆ่าคนให้ได้พันคน เพื่อประกอบพิธีบูชาครู (ครุทักษิณา) มิฉะนั้นวิชานั้นก็จะไม่มีผล
กำเนิดมหาโจรองคุลิมาล
ทีแรกอหิงสกกุมารปฏิเสธโดยอ้างว่าท่านเกิดในตระกูลที่ไม่เบียดเบียนใคร แต่อาจารย์บอกว่าศิลปศาสตร์ที่เรียนไปแล้วถ้ามิได้บูชาครูก็จะไม่อำนวยผลที่ต้องการ ด้วยนิสัยรักวิชา อหิงสกกุมารจึงยอมปฏิบัติตาม โดยออกไปสู่ป่าชาลิวันในแคว้นโกศล อาศัยอยู่ที่หุบเขาแห่งหนึ่งคอยดักฆ่าคนเดินทางออก เที่ยวปล้นหมู่บ้านและตำบลต่าง ๆ เป็นโกลาหล ได้ฆ่าคนล้มตายเป็นจำนวนมาก
แรก ๆ อหิงสกมาณพก็ไม่ได้ตัดนิ้วชนที่ตนฆ่าเก็บเอาไว้ แต่เมื่อฆ่าคนมากเข้า ๆ ก็จำไม่ได้ว่าฆ่าไปแล้วกี่คน เพื่อเป็นเครื่องนับจำนวนคนที่ตนฆ่า อหิงสกมาณพก็ตัดเอานิ้วมือคนที่ตายคนละหนึ่งนิ้ว มาเก็บไว้ แต่เก็บ ๆ ไปก็มีนิ้วที่เสียหายไปบ้างไม่ครบจำนวน จึงเปลี่ยนมาทำเป็นพวงมาลัยคล้องคอไว้ ฉะนั้นคนจึงเรียกชื่อท่านว่า องคุลิมาล
นับแต่ออกจากสำนักอาจารย์มา องคุลิมาลก็คอยดักซุ่มฆ่าคนเรื่อยไป เจอใครฆ่าหมดไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายคนเฒ่าคนแก่เด็กเล็กเด็กแดงไม่เลือก จนไม่มีใครสามารถไปป่าเพื่อหาฟืนเป็นต้น ในตอนกลางคืนก็เข้ามายังภายในบ้านเอาเท้าถีบประตู แล้วก็ฆ่าคนที่นอนนั้นแหละ หมู่บ้านก็ร่นถอยไปตั้งในนิคม.นิคมก็ร่นถอยไปตั้งอยู่ในเมือง พวกมนุษย์ทิ้งบ้านเรือนจูงลูกเดินทางมาล้อมพระนครสาวัตถี เป็นระยะทางถึงสามโยชน์ ตั้งค่ายพักประชุมกันที่ลานหลวง ต่างคร่ำครวญกล่าวกันว่า ข้าแต่สมมติเทพ ในแว่นแคว้นของพระองค์ มีโจรชื่อองคุลิมาล
พราหมณ์ปุโรหิตได้ยินเรื่องดังนั้นก็รู้ว่า โจรองคุลิมารนั้นต้องเป็นบุตรของเราเป็นแน่ จึงกล่าวกะนางพราหมณีว่า เกิดโจรชื่อองคุลิมาลขึ้นแล้ว โจรนั้นคงไม่ใช่ใครอื่น ต้องเป็นอหิงสกกุมาร ลูกของเราเป็นแน่ บัดนี้ พระราชาจะเสด็จออกไปจับเขา เราควรจะทำอย่างไร นางพราหมณีพูดว่า ฉันจะไปพาลูกของฉันมา ดังนี้ จึงออกเดินทางเพื่อไปบอกลูกบุตรชายให้หนีไปเสีย.
                เวลานั้นโจรองคุลิมาลได้นิ้วมือมาเพียง ๙๙๙ นิ้ว ยังขาดอยู่นิ้วเดียวเท่านั้น จึงกระหายเป็นกำลังและตั้งใจว่าถ้าพบใครก่อนก็จะฆ่าทันทีเพื่อจะได้นิ้วมือครบตามต้องการ แล้วจะได้ตัดผมโกนหนวดอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปเยี่ยมบิดามารดา
องคุลิมาลพบพระพุทธเจ้า
                เช้าตรู่วันนั้นพระบรมศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลกทรงเห็นว่าองคุลิมาลเป็นผู้มีอุปนิสัยพอที่จะโปรดให้บรรลุมรรคผลได้ และทรงพระดำริเห็นว่า ถ้าพระองค์มิได้เสด็จไปโปรด องคุลิมาลก็จะกระทำมาตุฆาต ฆ่ามารดาของตนเสีย จะเป็นผู้กระทำอนันตริยกรรม ไม่สามารถบรรลุธรรมใด ๆ ได้ในชาตินี้ แม้จะได้ฟังธรรมโดยตรงจากพระพุทธองค์ พระองค์จึงเสด็จจาริกมุ่งตรงไปยังป่าชาลิวันเป็นระยะทาง ๓๐ โยชน์ เพื่อสกัดองคุลิมาลไว้มิให้ทันได้ฆ่ามารดา
ธรรมดาการเสด็จจาริกของพระผู้มีพระภาคเจ้า มี ๒ อย่างคือ เสด็จจาริกอย่างรีบด่วน ๑ เสด็จจาริกอย่างไม่รีบด่วน ๑. ใน ๒ อย่างนั้น  การที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นบุคคลที่ควรให้ตรัสรู้ได้แม้ในที่ไกล ก็จะเสด็จไปโดยเร็วเพื่อประโยชน์แก่การตรัสรู้ของเขา ชื่อว่าเสด็จจาริกอย่างรีบด่วน. เช่นในการเสด็จไปเพื่อประโยชน์แก่พระอังคุลิมาลในครั้งนี้
ในระหว่างทางนั้นพวกคนเลี้ยงโคได้พากันวิ่งเข้าไปกราบทูลขอร้องถึง ๓ ครั้ง มิให้เสด็จไปหาองคุลิมาลเพราะกลัวพระองค์จะได้รับอันตราย  แต่พระพุทธองค์ทรงเฉยเสียแล้วเสด็จดำเนินต่อไปจนถึงป่าชาลิวัน
 โจรองคุลิมาลได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล ก็คิดว่าน่าประหลาดจริงหนอ เมื่อก่อน แม้พวกบุรุษมากันสิบคนก็ดี ยี่สิบคนก็ดี สามสิบคนก็ดี สี่สิบคนก็ดี ก็ยังต้องรวมเป็นกลุ่มเดียวกันเดินทาง แต่ถึงอย่างนั้น บุรุษพวกนั้นยังต้องตายเพราะมือเรา นี่มีเพียงสมณะนี้ผู้เดียว ไม่มีเพื่อนมาด้วย ชะรอยสมณะนี้คงจะมีดีอะไรสักอย่างแล้วจะมาลองดีกับเรา ถ้ากระไร เราพึงปลิดชีวิตสมณะนี้เถิด ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรถือดาบและโล่ผูกสอดแล่งธนู ติดตามพระผู้มีพระภาคไปทางพระปฤษฎางค์ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงบันดาลอิทธิฤทธิ์ ในลักษณะที่องคุลิมาลจะวิ่งจนสุดกำลัง ก็ไม่อาจทันพระผู้มีพระภาค ผู้เสด็จไปตามปกติได้
เมื่อเป็นดังนั้น องคุลิมาลโจรก็ได้มีความคิดว่า น่าอัศจรรย์จริง เมื่อก่อนนี้ แม้ช้างกำลังวิ่ง ม้ากำลังวิ่ง รถกำลังแล่น เนื้อกำลังวิ่ง เราก็ยังวิ่งตามจับได้ แต่ว่านี่เราวิ่งจนสุดกำลัง ยังไม่อาจทันสมณะนี้ซึ่งเดินไปตามปกติได้ คิดดังนี้แล้ว จึงหยุดยืนกล่าวกะพระผู้มีพระภาคว่า จงหยุดก่อนสมณะ จงหยุดก่อนสมณะ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เราหยุดแล้ว องคุลิมาล ท่านเล่าจงหยุดเถิด
ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรคิดอยู่ว่า สมณศากยบุตรเหล่านั้น ปกติมักเป็นคนพูดจริงมีปฏิญญาจริง แต่สมณะรูปนี้ กำลังเดินไปอยู่แท้ ๆ กลับพูดว่า เราหยุดแล้ว คงจะต้องมีนัยอะไรสักอย่าง เราน่าจะถามสมณะรูปนี้ดูจะดีกว่า
ครั้งนั้น องคุลิมาลโจรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค สมณะ ท่านกำลังเดินไป ยังกล่าวว่า เราหยุดแล้ว และยังกล่าวกะข้าพเจ้าผู้หยุดแล้ว ว่าไม่หยุด สมณะ ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า ท่านหยุดแล้วเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ายังไม่หยุด เป็นอย่างไร?
องคุลิมาลทูลขอบรรพชา
พระพุทธองค์มีพระดำรัสตอบว่า  “องคุลิมาลเราได้หยุดคือเลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้ว ส่วนตัวเธอยังไม่หยุด คือยังฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่ เราจึงพูดเช่นนั้นองคุลิมาลได้ยินพระสุรเสียงอันแจ่มใส พระดำรัสที่คมคายเช่นนั้น ก็เกิดใจอ่อน รู้สึกสำนึกผิดได้ทันทีแล้ววางดาบ ทิ้งธนู สลัดแล่งโยนทิ้งลงเหวที่หุบเขา เข้าไปถวายบังคมพระบาทยุคลของพระพุทธองค์ ทูลขอบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้บวชเป็นภิกษุด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา โดยได้ทรงพิจารณาเห็นว่าองคุลีมาลนั้นถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยและได้เคยถวายภัณฑะ คือ บริขารแปด แก่ท่านผู้มีศีลในปางก่อน ก็ทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาออกจากบังสุกุลจีวร เปล่งพระสุรเสียง ตรัสเรียกว่า  เธอ  จงมาเป็นภิกษุเถิด จงประพฤติพรหมจรรย์  เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด พร้อมกับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นนั่นเอง  เพศคฤหัสถ์ขององคุลีมาลนั้นก็อันตรธานไป บรรพชาและอุปสมบทก็สำเร็จ องคุลิมาลนั้นก็เป็นผู้ปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวะ  คือนุ่งผ้าอันตรวาสก ผืนหนึ่ง  ห่มผ้าอุตราสงค์ ผืนหนึ่ง  พาดผ้าสังฆาฏิไว้บนบ่าผืนหนึ่ง  มีบาตรดินที่มีสีเหมือนดอกอุบลเขียวคล้องไว้ที่บ่าข้างซ้าย พร้อมด้วยบริขารอื่น คือ มีดโกน  เข็ม  และผ้ารัดประคดเอว และ ผ้ากรองน้ำ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอิริยาบถ  เหมือนพระเถระอายุพรรษาตั้งร้อยพรรษา  มีพระพุทธเจ้าเป็นพระอาจารย์  มีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัชฌายะ  ยืนถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ทีเดียว.
พระบรมศาสดาก็เสด็จพาองคุลิมาลภิกษุไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร ณ กรุงสาวัตถี
พระเจ้าปเสนทิโกศลได้พบภิกษุองคุลิมาล
สมัยนั้น หมู่มหาชนก็มาชุมนุมกันอยู่ที่ประตูพระราชวังของพระเจ้าปเสนทิโกศล ส่งเสียงร้องทุกข์กับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ในแว่นแคว้นของพระองค์ มีโจรชื่อว่าองคุลิมาล เป็นคนหยาบช้า ฆ่าคนโดยไม่มีความกรุณา องคุลิมาลโจรนั้น เข่นฆ่าพวกมนุษย์แล้วเอานิ้วมือร้อยเป็นพวงแขวนคอไว้ ขอพระองค์จงกำจัดมันเสียเถิด.
พระเจ้าปเสนทิโกศลนั้น ทรงกลัวองคุลิมาล มิได้มีพระประสงค์จะไปจับโจรเลยแต่ทรงเกรงต่อคำครหา จึงทรงดำริว่า ถ้าเราจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ พระองค์ก็ทรงตรัสถามว่า พระองค์พาไพร่พลออกมาเพราะเหตุไร เราก็จะทูลว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้สงเคราะห์ข้าพระองค์ด้วยประโยชน์ในภพหน้าแต่เพียง อย่างเดียวเท่านั้น แม้ประโยชน์ในปัจจุบันก็ทรงสงเคราะห์ด้วย ข้าพระองค์ออกมาจับโจรองคุลิมาล  ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นว่าเราจะจับโจรได้ก็คงจะทรงนิ่งเสีย แต่ถ้าเราทรงเห็นว่าเราจะแพ้ ก็จะทรงตรัสว่า มหาบพิตร จะมีประโยชน์อะไรด้วยการเสด็จมาด้วยเรื่องของโจรเพียงคนเดียวถ้าเป็นอย่าง นั้นคนก็จะเข้าใจเราอย่างนี้ว่า พระราชาเสด็จออกจับโจร แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้ามเสียแล้ว ดังนี้ เราก็จะพ้นคำครหาด้วยประการฉะนี้
ดังนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้เสด็จเคลื่อนพลออกจากนครสาวัตถี ด้วยกระบวนม้าประมาณ ๕๐๐ เสด็จเข้าไปยังพระเชตวันมหาวิหารแต่ยังวันทีเดียว เสด็จไปด้วยพระยานจนสุดทางที่ยานจะสามารถไปได้แล้ว เสด็จลงจากพระยานแล้ว ทรงพระราชดำเนินด้วยพระบาทเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ดูกรมหาบพิตร พระเจ้าพิมพิสาร แห่งแคว้นมคธทรงทำให้พระองค์ทรงขัดเคือง หรือเป็นเจ้าลิจฉวี เมืองเวสาลี หรือว่าเป็นพระราชาผู้เป็นปฏิปักษ์เหล่าอื่น?
พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า มิได้พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉัน ออกมาจับโจรชื่อว่าองคุลิมาล
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ดูกรมหาราช ถ้ามหาบพิตรทอดพระเนตรเห็น องคุลิมาล เป็นผู้ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการพูดเท็จ ฉันภัตตาหารหนเดียว ประพฤติพรหมจรรย์ พระองค์จะทรงกระทำอย่างไรกะเขา?
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงตรัสว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจะพึงทำความเคารพ จะจัดถวายจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร หรือก็จะจัดการรักษาป้องกันคุ้มครองอย่างเป็นธรรม  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่องคุลิมาลโจรนั้น เป็นคนทุศีล มีบาป จะมีความสำรวมด้วยศีลถึงอย่างนั้นได้อย่างไร?
ขณะนั้น ท่านพระองคุลิมาล นั่งอยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงยกพระหัตถ์เบื้องขวาขึ้นชี้ตรัสบอกพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า ดูกรมหาราช นั่น องคุลิมาล.
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงเห็นองคุลิมาลก็ทรงมีความกลัว ทรงหวาดหวั่น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงกลัว จึงได้ตรัสกะพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า อย่าทรงกลัวเลย มหาราช อย่าทรงกลัวเลย มหาราช บัดนี้ องคุลิมาลนี้ไม่เป็นภัยกับผู้ใดแล้ว ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงระงับความกลัวได้แล้ว จึงเสด็จเข้าไปหาท่านองคุลิมาลถึงที่ที่ท่านนั่งอยู่ แล้วทรงดำริว่าการที่จะถือเอาชื่อที่เกิดขึ้นเพราะกรรมอันชั่วช้า คือชื่อ "องคุลิมาล" นั้นนำมาเรียกพระภิกษุ เป็นการไม่สมควร เราจักเรียกท่านด้วยชื่อแห่งโคตรของบิดามารดา ดังนี้ จึงถามว่า บิดาของพระผู้เป็นเจ้ามีโคตรอย่างไร มารดาของพระผู้เป็นเจ้ามีโคตรอย่างไร?
ท่านพระองคุลิมาลถวายพระพรว่า ดูกรมหาบพิตร บิดาชื่อ คัคคะ มารดาชื่อ มันตานี.
พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทรงปวารณาที่จะถวายจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แก่ท่านคัคคะมันตานีบุตร. และเพื่อแสดงถึงความตั้งพระทัยในการกล่าวปวารณานั้นอย่างจริงจัง พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ทรงเปลื้องผ้าสาฏกที่คาดเอววางไว้ ณ ที่ใกล้เท้าของพระเถระ
แต่เนื่องจากในครั้งนั้น ท่านพระองคุลิมาล ถือการอยู่ในป่าเป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือผ้าสามผืนเป็นวัตร ดังนั้น ท่านองคุลิมาลจึงได้ถวายพระพรพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า อย่าเลย มหาราช ไตรจีวรของอาตมภาพมีบริบูรณ์แล้ว.
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสรรเสริญพระพุทธคุณที่ทรงสามารถปราบโจรร้ายได้โดยไม่ต้องใช้อาญาและศัสตราอาวุธใด ๆ ลำดับนั้น แล้วทรงลุกจากที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วเสด็จกลับไป
พระองคุลิมาลโปรดหญิงมีครรภ์
หลังจากที่ท่านพระองคุลิมาลได้บวชแล้ว ท่านก็ได้รับความลำบากในเรื่องการบิณฑบาต แรก ๆ ท่านก็ออกบิณฑบาตภายนอกพระนคร แต่พวกชาวบ้านพอเห็นท่านแล้วย่อมสะดุ้งบ้าง ย่อมหนีเข้าป่าไปบ้าง ย่อมปิดประตูบ้าง บางพวกพอได้ยินว่า องคุลิมาล ก็วิ่งหนีเข้าเรือนปิดประตูเสียบ้าง เมื่อไม่อาจหนีได้ทันก็ยืนผินหลังให้ พระเถระไม่ได้แม้ข้าวยาคูสักกระบวยหนึ่ง แม้ภัตสักทัพพีหนึ่ง เมื่อท่านเห็นว่าไม่สามารถบิณฑบาตได้ภายนอกพระนครก็เข้าไปบิณฑบาตยังในพระนคร แต่พอเข้าไปทางประตูเมืองนั้น ก็เป็นเหตุให้มีเสียงตะโกนระเบิดออกมาเป็นพัน ๆ เสียงว่าองคุลิมาลมาแล้ว ๆ
บัญญัติพระวินัยเรื่องการให้บวชโจรที่ขึ้นชื่อโด่งดัง
ในเรื่องนี้ก็เป็นเหตุให้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระวินัยไว้โดยที่ในเรื่องนี้ประชาชนได้เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงให้โจรที่ขึ้นชื่อโด่งดังบวชเล่า. ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย โจรที่ขึ้นชื่อโด่งดัง ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฎ.
ต่อมา ท่านเข้าไปบิณฑบาตในเมือง เห็นหญิงคลอดลูกไม่ออกคนหนึ่งจึงเกิดความสงสาร  เมื่อกลับจากบิณฑบาตแล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ กราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ
พระพุทธองค์ทรงพระปริวิตกเกี่ยวกับเรื่องพระเถระลำบากด้วยภิกษาหาร เพื่อจะสงเคราะห์พระเถระนั้นโดยการลดความหวาดกลัวของประชาชนลง พระองค์จึงทรงมีพระประสงค์จะให้พระเถระแสดงสัจจกิริยาอนุเคราะห์แก่สตรีผู้เจ็บครรภ์เพื่อให้ชนทั้งหลายเห็นว่า บัดนี้พระองคุลิมาลเถระกลับได้มีเมตตาจิต กระทำความสวัสดีให้แก่พวกมนุษย์ด้วยสัจจกิริยา ฉะนั้นชนทั้งหลายย่อมคิดว่าควรเข้าไปหาพระเถระ ต่อแต่นั้นพระเถระก็จะไม่ลำบากด้วยภิกษาหาร
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ดูกร องคุลิมาล ถ้าอย่างนั้น เธอจงเข้าไปหาสตรีนั้นและกล่าวกะสตรีนั้นอย่างนี้ว่า ดูกรน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดมาแล้ว จะได้รู้สึกว่าแกล้งปลงสัตว์จากชีวิตหามิได้ ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่านเถิด.
ท่านพระองคุลิมาลกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าข้าพระองค์กล่าวเช่นนั้นก็จะเป็นว่าข้าพระองค์กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่เป็นแน่ เพราะข้าพระองค์แกล้งปลงสัตว์เสียจากชีวิตเป็นอันมาก.
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ดูกร องคุลิมาล ท่านอย่าถือเอาเหตุนั้นเลย นั่นไม่ใช่ชาติของท่าน นั่นเป็นเวลาเมื่อเป็นคฤหัสถ์ ธรรมดาคฤหัสถ์ย่อมฆ่าสัตว์.บ้าง ย่อมกระทำอทินนาทานเป็นต้นบ้าง แต่บัดนี้ ชาติของท่านชื่อว่า อริยชาติ.เพราะฉะนั้น ท่านถ้ารังเกียจจะพูดอย่างอย่างนั้น ท่านจงเข้าไปหาสตรีนั้น แล้วกล่าวกะสตรีนั้นอย่างนี้ว่า ดูกรน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดแล้วในอริยชาติ จะได้รู้สึกว่าแกล้งปลงสัตว์เสียจากชีวิตหามิได้ ด้วยสัจจวาจานี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของท่านเถิด.
พระองคุลิมาลทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาหญิงนั้นถึงที่อยู่ เพื่อกระทำสัจจกิริยาให้หญิงนั้รคลอดโดยสวัสดี  ก็โดยปกติแล้ว การคลอดบุตร ของหญิงทั้งหลาย ผู้ชายไม่ควรจะเข้าไป ญาติของหญิงนั้นจึงกั้นม่านปูลาดตั่งไว้ภายนอกม่านไว้ให้พระเถระ พระเถระจึงนั่งลงบนตั่งนั้น และกระทำสัจจกิริยา ครั้นสิ้นคำสัจจกิริยานั้นทารกก็ออกจากครรภ์มาดาอย่างง่ายดาย ดุจเทน้ำออกจากกระบอก ทั้งมารดาทั้งบุตรต่างก็มีความปลอดภัย
คำสัจจกิริยาของพระเถระนี้ มหาชนต่างก็ถือว่าเป็นพระปริตรอันศักดิ์สิทธิ์ ในประเทศไทยเองก็ได้อยู่ในบทสวดทั้งเจ็ดตำนานและสิบสองตำนาน ชื่อว่า องคุลิมาลปริต ในครั้งนั้น แม้กระทั่งตั่งที่พระเถระนั่งกระทำสัจจกิริยา ชนทั้งหลายเพียงนำสัตว์ดิรัจฉานตัวเมียที่มีครรภ์คลอดลำบากมาให้นอนที่ตั่งนั้น ก็จะคลอดออกได้โดยง่าย แม้แต่ตัวใดที่พิการนำมาไม่ได้ ก็เพียงแต่เอาน้ำล้างตั่งนั้นไปรดศีรษะ ก็คลอดออกได้ในขณะนั้นทีเดียว แม้โรคอย่างอื่นก็สงบไป ได้ยินว่า พระมหาปริตนี้มีปาฏิหาริย์ตั้งอยู่ตลอดกัป.
ตั้งแต่นั่นมาปัญหาเรื่องภิกษาหารของพระเถระก็หมดไป แต่พระประสงค์ของพระพุทธองค์ในการที่จะให้พระเถระกระทำสัจจกิริยาด้วยถ้วยคำดังกล่าวข้างต้น ด้วยทรงมีพระพุทธประสงค์อีกประการหนึ่งก็คือ ในอดีตตั้งแต่พระเถระบรรพชาแล้ว ท่านก็เพียรในสมณธรรม แต่เมื่อขณะที่พระเถระกระทำกัมมัฏฐานนั้น ท่านก็ไม่สามารถทำความสงบให้เกิดขึ้นแก่จิตได้ ด้วยภาพแห่งการกระทำที่ในดง เช่นการฆ่าพวกมนุษย์ ภาพการโอดครวญวิงวอนของเหล่ามนุษย์ที่ท่านกำลังจะฆ่า ว่า ข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจ ข้าพเจ้ายังมีบุตรเล็ก ๆ อยู่ โปรดให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้าเถิดนาย ภาพความวิการแห่งมือและเท้าก็ดี ของคนเหล่านั้น ดังนี้ ย่อมมาสู่จิตของท่าน จนท่านไม่สามารถกระทำสมณธรรมได้ต้องลุกไปเสียจากที่นั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ให้พระเถระกระทำสัจจกิริยาโดยอ้างอริยชาติ ด้วยทรงเล็งเห็นว่า พระองคุลิมาลต้องกระทำชาติ(ที่เป็นคฤหัสถ์)นั้นให้เป็นอัพโพหาริก (เป็นโมฆะ) คือให้พระเถระไม่คิดถึงเรื่องในเมื่อครั้งเป็นคฤหัสถ์ แต่ให้ท่านได้มีความเข้าใจว่าท่านเกิดใหม่ในอริยชาติแล้ว ให้ท่านคิดดังนี้เสียก่อนแล้วเจริญวิปัสสนา จึงจักบรรลุพระอรหัตต์ได้
ต่อมาภิกษุองคุลิมาลก็หลีกออกจากคณะไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ผู้เดียวไม่นานเท่าไรนักก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
ในการสำเร็จเป็นพระอรหันต์ของพระองคุลิมาลเถระนั้น ไม่เป็นที่ปรากฏชัดแก่ภิกษุบางเหล่า ดังเช่นมีเรื่องเล่าว่า
สมัยหนึ่ง ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเที่ยวจาริกไปตามชนบทแล้วทรงมาถึงพระเชตวัน มหาวิหาร พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงกระทำมหาทานแข่งกับพวกประชาชน โดยได้นิมนต์พระพุทธองค์พร้อมเหล่าภิกษุทั้งหมดมาเพื่อจะถวายทาน. ในวันที่สองพวกชาวกรุงถวาย. พระราชาทรงถวายยิ่งกว่าทานของพวกชาวกรุงเหล่านั้นอีก พวกชาวกรุงก็ถวายยิ่งกว่าทานของพระองค์ เป็นดังนี้ ครั้นเมื่อล่วงไปหลายวันอย่างนั้น พระราชาทรงเกรงว่าจะแพ้พวกชาวกรุง. ทีนั้นพระนางมัลลิกาเทวีผู้เป็นพระมเหสีได้กราบทูลขอจัด อสทิสทาน ถวาย.ในอรรถกถากล่าวว่า  อสทิสทานนั้น  จะมีในพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ และในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งๆ นั้น จะมีได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น  พระนางมัลลิกาเทวีได้ทรงกราบทูลให้พระราชาจัดทานดังนี้
ให้เขาทำมณฑปสำหรับพระพุทธองค์ทรงประทับภายในวงเวียน  ภิกษุที่เหลือนั่งภายนอกวงเวียนจัดช้าง ๕๐๐ เชือกถือเศวตฉัตร ๕๐๐ คัน  ยืนกั้นอยู่เบื้องบนแห่งภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป จัดทำเรือทองคำ  ๑๐ ลำวางไว้  ณ  ท่ามกลางมณฑป เจ้าหญิงองค์หนึ่งๆ  จัดให้นั่งบดของหอมอยู่ในระหว่างภิกษุ ๒ รูป เจ้าหญิงองค์หนึ่งๆ  จักถือพัด ยืนพัดภิกษุ ๒ รูป  เจ้าหญิงที่เหลือ จัดให้นำของหอมที่บดแล้วมาใส่ในเรือทองคำทั้งหลาย ในบรรดาเจ้าหญิงเหล่านั้น เจ้าหญิงบางพวกให้ถือกำดอกอุบลเขียว  เคล้าของหอมที่ใส่ไว้ในเรือทองคำแล้ว
เพราะเหล่าชาวเมืองย่อมหาเจ้าหญิงไม่ได้ ย่อมหาเศวตฉัตรไม่ได้ ย่อมหาช้างไม่ได้ ด้วยของเหล่านี้เป็นของที่มีเฉพาะกับพระราชาเท่านั้น ชาวเมืองก็จะต้องแพ้อย่างแน่นอน
พระราชาจึงรับสั่งให้จัดมหาทานตามวิธีที่พระนางกราบทูลแล้ว แต่ก็ปรากฏว่าช้างยังขาดไปเชือกหนึ่ง พระราชาตรัสบอกว่าพระนางมัลลิกา  ที่จริง มีช้างพอ ๕๐๐ เชือก แต่ช้างที่เหลืออยู่เป็นช้างดุร้าย เมื่อเห็นภิกษุทั้งหลายเข้าก็จะพยศ
พระเทวีจึงทูลพระราชาว่า ให้จัดเอาช้างที่ดุร้ายนั้นยืนอยู่ข้างพระผู้เป็นเจ้าที่ชื่อว่าองคุลิมาล
พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษทำอย่างนั้น  ก็ปรากฏว่าด้วยเดชของพระเถระ ช้างเชือกนั้น แม้สักว่าพ่นลมจมูก ก็ทำไม่ได้ ช้างสอดหางเข้าในระหว่างขา  ได้ปรบหูทั้งสอง  หลับตายืนอยู่แล้ว. 
ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายถามพระองคุลิมาลว่า ท่านเห็นช้างตัวดุร้าย ยืนกั้นฉัตรอยู่แล้ว ไม่กลัวหรือ พระองคุลิมาลตอบว่า ไม่กลัว ภิกษุเหล่านั้น จึงไปกราบทูลพระศาสดาว่า พระองคุลิมาล พยากรณ์พระอรหัตด้วยคำไม่จริง เพราะเนื่องจากมีเฉพาะผู้ที่เป็นพระอรหันต์เท่านั้นที่จะไม่กลัวความตาย พระศาสดาทรงตรัสว่า พระองคุลิมาลมิได้พูดเท็จ เพราะว่า ภิกษุผู้เป็นพระขีณาสพย่อมไม่กลัว
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อครั้งพระเถระปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุแล้วภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า  พระองคุลิมาลเถระเมื่อสิ้นชีวิตแล้วจะไปบังเกิดที่ไหน พระศาสดาเสด็จมาแล้ว  ตรัสภิกษุทั้งหลายว่านั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า  ปรารภกันถึงเรื่องที่พระองคุลิมาลเถระจะไปบังเกิด พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า พระเถระไม่มาเกิดอีกแล้วเพราะท่านได้ปรินิพพาน (หมายถึงบรรลุพรหัตผล) แล้ว เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า  พระองคุลิมาลเถระฆ่ามนุษย์เป็นจำนวนมากเช่นนั้น ท่านได้ปรินิพพานแล้วหรือ พระพุทธองค์จึงตรัสรับรองว่าเป็นอย่างนั้น เพราะท่านพระองคุลิมาลก่อนนั้นท่านไม่ได้กัลยามิตรสักคนหนึ่ง  จึงได้ทำบาปอย่างนั้นในกาลก่อน แต่ภายหลังเธอได้กัลยาณมิตรเป็นปัจจัย  จึงได้เป็นผู้ไม่ประมาท เหตุนั้น  ท่านจึงสามารถละบาปกรรมนั้นได้แล้วด้วยกุศล
พระพุทธองค์ทรงทรมานพระองคุลิมาลในอดีตชาติ
ตั้งแต่พระอังคุลิมาลเถระนั้น ได้กระทำความสวัสดีแก่หญิงผู้มีครรภ์หลงด้วยทำความสัตย์แล้ว จำเดิมแต่นั้นมาก็ได้อาหารสะดวกขึ้น ได้ปฏิบัติธรรมโดยการเจริญวิเวกอยู่แต่ผู้เดียว ต่อมาไม่นานท่านก็ได้บรรลุพระอรหัต เป็นพระอรหันต์มีชื่อปรากฏนับเข้าในภายในพระอสีติมหาเถระ ๘๐ องค์ ในครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า ช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ หนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทรมานพระองคุลิมาล ผู้เป็นมหาโจรมีฝ่ามืออันชุ่มด้วยเลือด ร้ายกาจเห็นปานนั้น โดยไม่ต้องใช้ทัณฑะหรือศัสตรา ทำให้หมดพยศได้ ทรงกระทำกิจที่ทำได้โดยยาก ธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้กระทำกิจที่ทำได้ยากอย่างน่าอัศจรรย์
พระศาสดาประทับอยู่ในพระคันธกุฎี ได้ทรงสดับถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้นด้วยทิพโสต ก็ทรงพระดำริว่าพระธรรมเทศนาที่เราจักแสดงวันนี้จะมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงดังนี้ จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฎี เสด็จไปยังธรรมสภา ประทับนั่งบนอาสนะที่พวกภิกษุจัดไว้ถวายแล้วตรัสถามว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราผู้ได้ทรมานพระองคุลิมาลได้ในบัดนี้ไม่น่าอัศจรรย์เลย แม้เมื่อครั้งในอดีตเราก็ทรมานพระองคุลิมาลนี้ได้ ตรัสดังนี้แล้วทรงนิ่งอยู่ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานแสดงดังต่อไปนี้
รับกรรมที่มาตามสนอง
ครั้งหนึ่งท่านได้เข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี ในครั้งนั้นก็ปรากฏว่า ก้อนดิน ท่อนไม้ ก้อนกรวดที่บุคคลแม้ขว้างไปในทิศทางอื่น ก็ปรากฏให้สิ่งเหล่านั้นมาตกต้องกายของท่านพระองคุลิมาล ท่านพระองคุลิมาลศีรษะแตก โลหิตไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ฉีกขาด ท่านจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรท่านพระองคุลิมาลเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วได้ตรัสกะท่านพระองคุลิมาลว่า เธอจงอดกลั้นไว้เถิด เธอได้เสวยผลกรรมซึ่งเป็นเหตุจะให้เธอนั้นหมกไหม้อยู่ในนรกตลอดชั่วกาลนานนั้น เพียงในปัจจุบันนี้เท่านั้น.